BEM ลุ้นไตรมาส 4 ธุรกิจ “ทางด่วน-รถไฟฟ้า” โตโดดเด่น
BEM ลุ้นปลายปี 65 ธุรกิจทางด่วน-รถไฟฟ้ากลับมาโตใกล้เคียงก่อนเกิดโควิด พร้อมคาดผลประกอบการปีนี้ดีว่าปี 64 ที่มีรายได้ 1.1 หมื่นลบ. และกำไรสุทธิ 1,010 ล้านบาท
น.ส.ปาหนัน โตสุวรรณถาวร รองกรรมการผู้จัดการ บัญชีและการเงิน บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยว่า ธุรกิจทางด่วนและรถไฟฟ้าจะกลับมาโตเท่าช่วงก่อนเกิดการระบาดไวรัสโควิด-19 ในปลายปี 2565 – 2566 หลังจากธุรกิจทางด่วนในปัจจุบันมีปริมาณจราจร 1.1 ล้านคัน/วัน หรือ 90% ของก่อนเกิดโควิด ที่มีปริมาณจราจร 1.2 ล้านคัน/วัน หลังเปิดประเทศมากขึ้นและการกลับเปิดโรงเรียน ก็มีการเดินทางมากขึ้น หลังจากในปี 2563 บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีปริมาณจราจรเฉลี่ย 1.05 ล้านคัน/วัน หรือกระทบ 15% และในปี 2564 กระทบมากขึ้นจากการแพร่ะระบาดสายพันธ์เดลตา ทำให้ปริมาณจราจรหายไป 20% มาเฉลี่ยที่ 8.5 แสนคัน/วัน โดยบริษัทรับผลกระทบปี 2563-2564 ราว 30% ส่วนในปี 2565 ครึ่งปีแรกรับผลกระทบจากการระบาดสายพันธุ์โอมิครอน
สำหรับธุรกิจรถไฟฟ้า โดยปกติจะมีจำนวนผู้โดยสารกว่า 3 แสนเที่ยวคน/วัน ซึ่งปัจจุบันมีผู้โดยสาร 3.5 แสนเที่ยวคน/วันในวันธรรมดา โดยวันศุกร์ตัวเลขจะขึ้นไปถึง 3.8 แสนเที่ยวคน/วัน จากปี 2563-2564 ที่รับผลกระทบจากการระบาดโควิดที่มีจำนวนผู้โดยสารในปี 2563 เฉลี่ย 2.6 แสนเที่ยวคน/วัน และในปี 2564 เฉลี่ย 1.5 แสนเที่ยวคน/วัน บางวันมีผู้โดยสารหมื่นกว่า แต่ในครึ่งแรกปีนี้ผู้โดยสารไต่ขึ้นมากว่า 2 แสนเที่ยวคน/วันแล้ว นอกจากนี้ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์จะเปิดในเดือนก.ย.นี้และมีสัปดาห์หนังสือทำให้คาดว่ามีผู้โดยสารมากขึ้น
ทั้งนี้ รายได้ค่าผ่านทางหรือค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้ถูกกำหนดตามสัญญาสัมปทานไว้แล้ว โดยค่าผ่านทางด่วนจะปรับขึ้นครั้งต่อไปในปี 2571 โดยทางพิเศษเฉลิมมหานครและทางพิเศษศรีรัชจะปรับขึ้น 1 ก.ย. 2571 ส่วนทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครปรับขึ้นแล้วเมื่อ 15 ธ.ค. 2564 และ ทางพิเศษอุดรรัถยา จะปรับค่าผ่านมางครั้งต่อไปในวันที่ 1 พ.ย. 2571
น.ส.ปาหนัน กล่าวว่าอีกว่า โครงการอนาคตที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ ทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) ที่จะเริ่มงามวงศ์วาน-อโศก-ศรีนครินทร์ ซึ่งระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนศึกษา EIA ขณะที่ธุรกิจรถไฟฟ้า บริษัทเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และรอการประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก)
ขณะเดียวกันบริษัทได้บริหารจัดการต้นทุนให้ได้ดี เพราะธุรกิจบริษัทมีลักษณะการใช้เงินลงทุนสูงในช่วงต้นโครงการ บริษัทได้ปรับสัดส่วนดอกเบี้ยลอยตัวมาเป็นดอกเบี้ยคงที่ และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็ปรับพอร์ตเป็นหุ้นกู้ ที่มีอัตราคงที่ ทำให้พอร์ตหนี้เงินกู้มีดอกเบี้ยลอยตัวเพียง 20% โดยปี 2564 บริษัทได้ออกหุ้นกู้ยั่งยืนครั้งแรก วงเงิน 6 พันล้านบาท และได้รับการตอบรับมากมีนักลงทุนแสดงความต้องการสูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนในปีนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ยั่งยืน วงเงินราว 3-4 พันล้านบาทในช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้
ด้านนายธนาวัฒน์ วรรณดิษฐ์ ผู้จัดการส่วน ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ BEM คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้วที่มีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิ 1,010 ล้านบาท โดยเชื่อว่าในครึ่งหลังปี 2565 ปริมาณจราจรจะกลับมาดีขึ้น และจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าทยอยขึ้นคาดปีนี้ยอดเฉลี่ย 3 แสนเที่ยวคน/วัน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเปิดบริการของศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในก.ย. และในปีหน้าจะมีโครงการ Mix Use หลายโครงการ อาทิ โครงการ One Bangkok , โครงการดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค จะมีการใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมากขึ้น