PCE พลิกโฉมธุรกิจ “โฮลดิ้ง” จ่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตั้ง “APM” ที่ปรึกษาทางการเงิน
PCE ประกาศจัดทัพองค์กร ปรับโครงสร้างธุรกิจสู่ “โฮลดิ้ง” รองรับการแปรสภาพเป็นมหาชน เดินหน้าเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ ยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการสู่สากล
นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (PCE) ผู้นำธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจร เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งของบริษัท ตามนโยบายและแผนการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการขยายธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมทั้งยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการสู่สากล และเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในอนาคต โดยบริษัทแต่งตั้ง บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับกลุ่มบริษัท PCE ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล, น้ำมันปาล์มดิบ, น้ำมันพืช, กลีเซอรีนบริสุทธิ์, และผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ ธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือ พื้นที่ฝากเก็บสินค้าและเตรียมความพร้อมก่อนขนส่ง, ธุรกิจให้บริการขนส่งทางบก, ธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือ, และการให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง โดยบริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ประกอบธุรกิจเป็นบริษัทที่ลงทุนในบริษัทย่อย ซึ่งประกอบด้วย
- บริษัท นิว ไบโอดีเซล จำกัด ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย น้ำมันไบโอดีเซล น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค
- บริษัท ปาโก้เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันเมล็ดในปาล์ม เมล็ดในปาล์ม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปาล์ม ทั้งในและต่างประเทศ
- บริษัท เพชรศรีวิชัย จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางบกภายในประเทศซึ่งมีรถให้บริการมากกว่า 100 คัน
- บริษัท พี.ซี. มารีน (1992) จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ ทั้งในและต่างประเทศ
- บริษัท พี.เค. มารีน เทรดดิ้ง จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการท่าเทียบเรือ พื้นที่ฝากเก็บสินค้า และเตรียมความพร้อมก่อนขนส่ง โดยมีพื้นที่มากกว่า 40,000 ตร.ม. และมีคลังน้ำมันที่สามารถรองรับได้ 240,000 ตัน โดยมีท่าเทียบเรือในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและฉะเชิงเทรา
“การขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน รวมถึงการสร้างจุดแข็งในการแข่งขัน ถือว่าเป็นเหตุผลสำคัญในการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต เช่นเดียวกับเป้าหมายในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะมีส่วนสำคัญในการสร้างมาตรฐานและยกระดับขององค์กรให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและสากลได้“ นายประกิต กล่าวเพิ่มเติม
ด้าน นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันมีความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากไทยมีผลผลิตปาล์มเป็นอันดับ 3 ของโลก อีกทั้งยังถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอาหารและเชื้อเพลิง ทำให้ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอย่างดี
ขณะที่ PCE นับว่าบริษัทที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในแวดวงธุรกิจน้ำมันปาล์มของประเทศ โดยการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ถือว่ามีบทบาทสำคัญที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจ และการสร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและพันธมิตร ตลอดจนการวางรากฐานของการดำเนินธุรกิจ รวมถึงโครงสร้างทางการเงินให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต
ขณะที่ นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า PCE ถือว่าเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันปาล์มครบวงจรรายใหญ่ในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจเกือบ 40 ปี จากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการ ตั้งแต่สินค้าต้นน้ำถึงปลายน้ำที่มีคุณภาพและมาตรฐาน พร้อมด้วยระบบการขนส่งทั้งทางบกและทางเรือที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรืออย่างเป็นระบบ ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและมีส่วนสำคัญที่จะสร้างโอกาสและการเติบโตของกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ (จากงบการเงินรวม) มากกว่า 28,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ PCE อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทให้เป็นลักษณะโฮลดิ้งเพื่อจัดกลุ่มธุรกิจและโครงสร้างทางการเงิน เพื่อให้ธุรกิจมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อให้บริษัทมีคุณสมบัติในด้านต่างๆ เป็นไปตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่นำบริษัทก้าวสู่ความเป็นผู้นำอย่างยั่งยืน