“กรมปศุสัตว์” จี้รัฐเร่งปราบ “หมูเถื่อน” หวั่นกระทบราคาตลาด
“หมูเถื่อน” ระบาดหนัก ภาครัฐต้องเร่งปราบก่อนทำลายขวัญและกำลังใจของผู้เลี้ยงหมูไทย หวั่นกระทบราคาในอนาคตไม่คุ้มเงินลงทุน มั่นใจผลผลิตที่ทยอยออกสู่ตลาดจะทำให้ราคาผ่อนคลายลงแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานอ้างอิงจากวงการปศุสัตว์ กล่าวว่า ขณะนี้การลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” ถูกจับตามองมากและมีการตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นการทำผิดกฎหมายซ้ำซากและไม่สามารถหาต้นตอผู้กระทำผิดได้ น่าจะมีการดำเนินงานเป็นขบวนการ เนื่องจากที่ผ่านมามีแต่ยึดของกลางและทำลายซากสัตว์แต่ไม่ได้มีการแสดงผลการดำเนินคดีกับผู้ลักลอบ ทำให้ห้องเย็นและผู้กระทำผิดกฎหมายไม่เกรงกลัวกฎหมายยังคงลักลอบนำเข้าต่อเนื่อง ขณะที่การจำหน่ายหมูเถื่อนในประเทศทำกันอย่างเปิดเผยมากขึ้น โดยเฉพาะการตั้งราคาต่ำกว่าหมูไทยมาก เพื่อล่อใจผู้บริโภคทั้งประชาชนทั่วไป ร้านอาหารตามสั่งและร้านหมูกระทะ
“หากติดตามการลักลอบนำเข้าหมูผิดกฎหมายมาตลอดจะเห็นว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดทำกันเป็นกระบวนการ แบ่งปันผลประโยชน์กัน จึงไม่สามารถจับผู้บงการมาลงโทษได้ ดีที่สุดคือยึดของกลางแล้วก็เงียบหายไป แต่ผลร้ายในระยะยาวคือบิดเบือนกลไกตลาดและราคาในประเทศ ตลอดจนความเสี่ยงต่อโรคระบาดและสารเร่งเนื้อแดงที่ติดด้วย” วงการปศุสัตว์ กล่าว
โดยก่อนหน้านี้ กรมศุลกากร รายงานว่า ที่ผ่านมามีเพียงสินค้าที่เป็นขาหมูที่นำเข้าถูกต้อง ที่เรียกว่า ขาหมูไฮโซ นำเข้าจากเยอรมนี สเปน ญี่ปุ่น ซึ่งปีนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน ก.ค. หรือ 7 เดือนแรก พบว่ามีนำเข้ามาราว 7.2 หมื่นกิโลกรัม หรือ 72 ตัน มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท โดยขาหมูเหล่านี้นำเข้าถูกต้องและเสียอากรอยู่ระหว่าง 20-40% โดยกรมฯยืนยันว่า ถ้าจะมีเข้ามาก็เหมือนกับพวกยาเสพติดที่ลักลอบเข้ามา ส่วนถ้าจะเอาใส่ตู้ห้องเย็นนำเข้ามา ยังไงก็ต้องมีการตรวจ กรมศุลฯก็ตรวจร่วมกับกรมปศุสัตว์ ดังนั้นยืนยันว่าไม่มีพวกที่สำแดงเป็นสินค้าประเภทอื่น
ด้านกรมปศุสัตว์ รายงานว่า ในปี 2565 มีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ลักลอบนำเข้าซากสัตว์ 8 ราย ยึดซากสุกร 108,734 กิโลกรัม มูลค่าของกลาง 20,593,634 บาท ทำลาย 126,966 กิโลกรัม และได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อร่วมมือในการป้องกันการลักลอบนำเข้าซากสัตว์ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
สำหรับราคาหมูไทยปรับสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ภาครัฐประกาศว่ามีการระบาดของโรค ASF ในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคม 2565 ทำให้ผลผลผลิตหายไป 50% และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี ในการฟื้นฟูสถานการณ์ให้กลับมาเป็นปกติ ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาขึ้น 30% เป็นเหตุให้ราคาหมูในประเทศปรับสูงขึ้นอีก โดยหมูเป็นหน้าฟาร์มจากราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70-80 บาท/กก. เพิ่มเป็นสูงสุดที่ 110 บาท/กก. ส่งผลให้ราคาหมูเนื้อแดงปรับขึ้นไปอยู่ที่ 230 บาท/กก. จึงมีแนวคิดในการนำเข้ามาดึงราคาลง
ทั้งนี้หากมีการปราบปรามอย่างจริงจังอย่างรอบคอบและรอบด้าน จะช่วยกำจัดหมูเถื่อนเข้าประเทศไทยได้แน่นอนไม่ว่าจะเป็นตามตะเข็บชายแดนประเทศไทยหรือการนำเข้าผ่านทางท่าเรือ ภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่างรู้ทางหนีที่ไล่ของผู้กระทำผิดเป็นอย่างดี ควรหาวิธีที่รัดกุมในการปราบปรามให้เด็ดขาด ให้เกิดผลประโยชน์ส่วนกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้เลี้ยงหมู มีแรงใจผลิตเนื้อหมูที่ราคาสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงและไม่เสี่ยงกับโรคที่จะติดมากับซากสัตว์ รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคจากสารก่อมะเร็ง
โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ อาหารปลอดภัย เนื่องจากหมูเถื่อนมีการขายแพร่กระจายอยู่ในตลาดสด ช็อปขายเนื้อหมู หรือ แม้แต่การขายออนไลน์ มีการนำเสนอกันอย่างเปิดเผย โดยเสนอราคาที่ล่อใจประมาณ 135-145 บาท/กก. ถูกกว่าหมูไทยที่ราคาเฉลี่ย 200-230 บาท/กก. ถูกใจร้านอาหารตามสั่งและร้านหมูกระทะ สั่งซื้อเพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งหมูลักลอบนำเข้าเหล่านี้ไม่ผ่านการตรวจสอบสารปนเปื้อนโดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดง ที่ประเทศไทยห้ามใช้โดยเด็ดขาดตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปี 2545 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขปี 2546 เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การบริโภคต่อเนื่องจะทำให้มีการสะสมของสารปนเปื้อนดังกล่าว ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในระยะยาว