“บัวหลวง” คัดหุ้นธีมหลบภัย “เงินเฟ้อ” เน้นกลุ่ม “รพ.-อาหาร-มีเดีย”

“บล.บัวหลวง” แนะกลยุทธ์ลงทุนช่วง “เงินเฟ้อ” เน้นลงทุนในกลุ่ม “รพ.-อาหาร-มีเดีย-พาณิชย์-สื่อ” พร้อมมอง SET ไม่หลุดระดับ 1,570 จุดเนื่องจากดัชนี Composite Medium-term ฟื้นตัวจากระดับกรอบล่างแล้ว


นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงจำกัด เปิดเผยข้อมูลผ่านห้องออนไลน์ให้แก่นักลงทุนในประเด็น “อัพเดทตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นโลก พร้อมกลยุทธ์การลงทุน 4 เดือนส่งท้ายปีขาลให้ปัง”

สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2565 หลังจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อลดลง เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ซึ่งตั้งเป้าหมายดัชนีปีนี้ไว้ 1,705 จุด และในปี 2566 เป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,800 จุด
ขณะเดียวกันคาดกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 จะเติบโต 9.2% คิดเป็น EPS ที่ 98.20 บาท ขณะที่ในปี 2566 คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 10.60% คิดเป็น EPS ที่ 107.4 บาท

ประกอบกับคำแนะนำลงทุนในกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มการบริโภค กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มธนาคาร มีความน่าสนใจลงทุนชัดเจน หลังจากคลายความกังวลคุณภาพสินทรัพย์ รวมทั้ง อุตสาหกรรม SME ปรับตัวดีขึ้น พร้อมทั้งแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มโลจิสติกส์

ขณะเดียวกันมีการชี้แนะในการจัดพอร์ตการลงทุน โดยให้ลงทุนในหุ้นสัดส่วน 65%, ทองคำ 10%,องทุนอสังหาฯ 10% และส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด

นายชัยพร กล่าวอีกว่า มุมมองต่อ SET Index ช่วงที่เหลือของปีนี้ว่ายังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ประเทศขนาดใหญ่ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจะสร้างแรงกดดันต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจของไทยและต่างประเทศทั่วโลก

ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายประเภทผ่านจุดสูงสุดกลางปีไปแล้ว หลัง US Fed ใช้นโยบายการเงินเข้มข้นโดยการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ด้านสงครามยูเครนและรัสเซียยังส่งผลดีต่อราคาก๊าซ และถ่านหินในช่วงฤดูหนาวปีนี้

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีสหรัฐแตะระดับ 3.4% และเริ่มปรับตัวลงตามความกังวลเข้าสู่ช่วง recession ในปีหน้า ส่วนอัตราดอกเบี้ยโลก นำโดยสหรัฐน่าจะหยุดในราวไตรมาสแรกปีหน้า ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไทยน่าจะปรับขึ้นได้อีกราว 1-1.50% จากปัจจุบัน

สำหรับภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศไทยจะดีอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจของไทย พร้อมทยอยลด exposure กลุ่มที่ enjoy inflation rally ในครึ่งแรกของปี 2565 นี้ กลุ่ม Growth story จะสามารถกลับมาปรับตัวได้ดีกว่ากลุ่ม เน้นคุณค่า กำไรโตน้อย

ทั้งนี้กลุ่มโรงพยาบาล, พาณิชย์, อาหาร และสื่อมีเดีย ยืดหยุ่นต่อภาวะเงินเฟ้อ การบริโภค คือหัวใจขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ และการลงพื้นที่ของส.สเพื่อเตรียมเลือกตั้งปีหน้าจะสร้างแรงจูงใจการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้กลุ่มสื่อสาร เทคโนโลยี platform & software การจับมือเพื่อสร้างกลุ่มธุรกิจ สำหรับข้อมูลผู้บริโภคเพื่อต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต

อีกทั้งคาดว่าเศรษฐกิจของไทยจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา โดยในปีนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้ว 1.1 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปต่อเนื่องจนเข้าสู่ภาวะปกติก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พึ่งพาภาคการท่องเที่ยวอยู่ในสัดส่วน 20% ของ GDP

สำหรับการเมืองในประเทศมองว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระและมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน ก.พ.2566 ซึ่งทำให้การเมืองจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้งจะมีการดีเบต (Debate) และชูนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพโดยรวมคึกคักก่อนการเลือกตั้ง

ด้านสหรัฐมีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีก 1.00%ภายในสิ้นปีนี้ หรือคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึงระดับ 3.25-3.50% ซึ่งต้องติดตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือน ก.ย. หากปรับขึ้น 0.75% จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด แต่หากปรับขึ้น 0.50% จะเป็นมุมมองบวกมากขึ้น และทิศทางการปรับขึ้นในระยะข้างหน้าจะเป็นระดับที่ชะลอลง และคาดว่าจะหยุดปรับขึ้นในไตรมาส 1/2566

Back to top button