เปิดโผ 10 หุ้นรับอานิสงส์ “ฝนตก-น้ำท่วม” หนุนยอดขาย-รายได้ทะลัก

เปิดโผ 10 หุ้น BDMS-RJH-CKP-HMPRO-COTTO-UMI-DRT-TOA-GLOBAL-DOHOME รับอานิสงส์ฝนตก-น้ำท่วม ลุ้นดันยอดขาย-รายได้ทะลัก โบรกแนะกลุ่มโรงพยาบาล “มากกว่าตลาด” คาดผู้ป่วยเพิ่มขึ้น


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากสถานการณ์ฝนตกและปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านทำให้มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากสถานการณ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล จากการคาดหวังว่าจะมีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้น รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ที่จะได้รับอานิสงส์ในช่วงที่มีน้ำเยอะ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จากการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากพายุฝนดังกล่าว

โดยบล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาลเป็น “มากกว่าตลาด” เนื่องจาก 1.มาตรการเปิดประเทศส่งเสริมให้ medical tourism ฟื้นตัวขึ้น จาก pent-up demand ช่วง COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง และ CLMV ที่เห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และ 2. ผู้ป่วยทั่วไปในประเทศฟื้นตัว จากเคสผ่าตัด และได้ปัจจัยหนุนจากฤดูกาลหน้าฝน ซึ่งช่วยชดเชยรายได้ที่เกี่ยวกับโควิดที่ลดลง

ส่วนบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น BDMS ราคาเป้าหมาย 33.30 บาท คาดกำไรไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 5% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ตามการใช้บริการลูกค้า Non-COVID ที่เพิ่มขึ้น จากทั้ง high season เข้าสู่ฤดูฝน และ pent-up demand ลูกค้าต่างชาติ และ gross margin เพิ่มขึ้นจาก economy of scale ของการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น โดยคาดกำไรปี 65 อยู่ที่ 1.14 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบจากปีก่อน เติบโตดีกว่ากลุ่มฯ ตามรายได้จากการใช้บริการของลูกค้าทั่วไปเพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟื้นตัวสูงระดับ pre-COVID

อีกทั้งมองว่าบริษัท โรงพยาบาลราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ RJH ซึ่งมีจุดเด่นทำเลที่ตั้งในแหล่งชุมชน และโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้มีโอกาสเติบโตตามความต้องการรักษาพยาบาลในพื้นที่ มีศักยภาพรักษาโรคเฉพาะทาง ทำให้อัตราค่ารักษามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การรักษาโรครุนแรงสำหรับกลุ่มประกันสังคม ช่วยเพิ่มค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง และมีโครงสร้างรายได้คล้าย BCH และ CHG โดย IAA Consensus คาดปี 65 มีกำไรสุทธิราว 970 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากคาดผลบวก Economy of scale ของการให้บริการเกี่ยวกับ COVID ลดลง

อย่างไรก็ตามนายสุรินทร์ ประสิทธิ์หิรัญ กรรมการผู้จัดการบริษัท RJH เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้จากกิจการโรงพยาบาลปี 65 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 64 ที่มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 3,117 ล้านบาท เนื่องจาก จำนวนลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการเพิ่มสิทธิรักษาของข้าราชการ ซึ่งในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการเซ็นสัญญากับกรมบัญชีกลาง ทำให้เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดของไวรัส Covid-19 เนื่องจากในขณะนี้เด็กนักเรียนได้เริ่มมีการกลับไปเรียนที่โรงเรียนแล้ว และในปัจจุบันได้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้เด็กเริ่มมีอาการเจ็บป่วยเพิ่มมากขึ้น และในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม บริษัทจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และรับรู้รายได้จากการฉีดวัคซีน Moderna เมื่อสิ้นเดือน ก.ค.65 ประมาณ 29 ล้านบาท

ขณะที่บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ซึ่งปกติแล้วจะมรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเพิ่มขึ้นช่วงหน้าฝน (เริ่มตั้งแต่กลาง พ.ค. ถึง ต.ค.) เพราะปริมาณน้ำไหลเข้าเพิ่มขึ้น ส่งให้การผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามจากสถิติโรงไฟฟ้าพลังน้ำโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และไซยะบุรี จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าดังนี้จากปริมาณน้ำไหลเข้าในเดือนพ.ค. ถึง ต.ค. มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากหน้าฝน ทำให้ปริมาณผลิตไฟฟ้าปรับเพิ่ม CKP มีโอกาสรับรายได้เพิ่ม

โดยบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คาดกำไร CKP ช่วงไตรมาส 3/65 จะทำจุดสูงสุดของปีนี้ราว 1,200 ล้านบาท จากฝนที่ตกชุกทำให้โรงไฟฟ้าไซยบุรีและน้ำงึมสอง กำไรสูงผสานกับโอกาสเกิดประกฎการณ์ La Nina ทำให้น้ำปี 65 เกือบเต็มเขื่อน หนุนคาดกำไรทั้งปีจะเติบโต 7% ขึ้นสู่ระดับ 2.3 พันล้านบาท ประเมินราคาเป้าหมายที่ 6.50 บาท

นอกจากนั้นจากการที่ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงและไหลเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีรายการน้ำท่วมบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันยังมีรายงานว่าจังหวัดระยองมีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนเสียหายหลายหลัง

โดยปัจจัยนี้จะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากเมื่อระดับน้ำลดลงแล้ว อาจมีการซ่อมแซมทั้งบ้านเรือน อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ทรัพย์สินต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย อาทิ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO, บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ UMI, บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT, บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA, บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL และบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME

Back to top button