เปิด 5 รายชื่อหุ้น mai วิ่งแรงรอบ 8 เดือน ชูโกยรีเทิร์นเกิน 100%
เปิด 5 รายชื่อหุ้น mai วิ่งแรงรอบ 8 เดือนแรก ชูโกยรีเทิร์นเกิน 100% นำทีมพุ่ง THANA-PSG-NINE-TAKUNI-DITTO ลุ้นกำไรปีนี้โตดี พ่วงแผนธุรกิจแกร่ง ดันผลงานเข้าเป้า
ผ่านไปแล้วสำหรับการลงทุน 8 เดือนแรกปี 2565 แม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางในหลายประเทศ แต่ SET Index มีความผันผวนน้อยกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักอื่นๆ สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยว และการบริโภคในประเทศ
อีกทั้งผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตดี โดยเฉพาะในไตรมาส 2/65 ที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีกำไรสุทธิรวม 3.5 แสนล้านบาท รวมถึง บจ. มีโอกาสเพิ่มอัตราจ่ายปันผลสูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงาน อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยยกเลิกการจำกัดอัตราจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์ทำให้อัตราการจ่ายปันผลในอนาคตมีแนวโน้มดีขึ้น
โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือน ส.ค.65 SET Index ปิดที่ 1,638.93 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 4.0% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 1.1%
ขณะที่ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในรอบ 8 เดือนแรกปี 65 ปรับเพิ่มขึ้น 10.14% โดยเทียบจากดัชนีปิดที่ระดับ 582.13 จุด (ณ ธ.ค.64) มาอยู่ที่ระดับ 641.19 จุด (ณ ส.ค.65)
จากภาวะดังกล่าวส่งผลให้หุ้นหลายกลุ่มปรับตัวขึ้นแรงตามภาวะตลาด ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นกลุ่ม mai โดยคัดเลือกหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิน 100% ในรอบ 8 เดือนแรกปีนี้มานำเสนอ เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มผลประกอบการปีนี้โตเด่น และแผนธุรกิจสดใสทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น โดยมี 5 ตัวประกอบด้วย THANA, PSG, NINE, TAKUNI และ DITTO ดังตารางประกอบ
อันดับ 1 บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 134.59% โดยราคาหุ้นปรับขึ้นจากระดับ 1.33 บาท (30 ธ.ค.64) มาอยู่ที่ระดับ 3.12 บาท (31 ส.ค.65) คาดนักลงทุนเข้าเก็งกำไรผลประกอบการปีนี้แกร่ง โดยงบครึ่งปีแรก 2565 มีกำไรสุทธิ 30.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.84 ล้านบาท ขณะเดียวกันคาดว่าผลประกอบการครึ่งหลังปี 65 ยังโตต่อเนื่อง
โดยบริษัทวางเป้า 3 ปี (ปี 65-67) จะมีรายได้รวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาท ปี 2566 จะมีรายได้ 1,600 ล้านบาท และปี 2567 จะมีรายได้ 2,400 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่
ขณะที่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทวางเป้าหมายยอดขาย (Presale) เติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2565 วางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 1,200 ล้านบาท ปี 2566 ยอดขายจะเติบโตอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และในปี 2567 ยอดขายจะเติบโตอยู่ที่ 2,800 ล้านบาท จากการขยายโครงการมากขึ้น ประกอบกับความต้องการที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSG ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 131.76% โดยราคาหุ้นปรับขึ้นจากระดับ 0.58 บาท (30ธ.ค.64) มาอยู่ที่ระดับ 1.35 บาท (31 ส.ค.65) โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงมาจากแผนธุรกิจที่โดดเด่น โดยเฉพาะประเด็นมีโครงการใหญ่ในมืออย่าง งานก่อสร้างโครงการ XPPL Expansion Phase 1 (โรงไฟฟ้าถ่านหินเซกอง เฟส 1) เป็นงานขยายกำลังการผลิตถ่านหินจากขนาด 2.94 ล้านตัน เป็น 15 ล้านตัน ที่ สปป.ลาว โดยรับมาตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่มูลค่า 264 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8,895 ล้านบาท ซึ่งระยะเวลาก่อสร้างทั้งหมด 32 เดือน
โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าผลงานในปี 2565 จะพลิกเป็นกำไรทันที เมื่อรับรู้โครงการข้างตัน ล่าสุดในไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 268 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 16 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 19 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ได้แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PSG กำหนดราคาพื้นฐานที่ 2.06 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรในปี 2565-2566 จะเร่งตัวดีขึ้นมาก ซึ่งได้ประมาณการกำไรปี 2565 สูงเป็น 785 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุน 63 ล้านบาท และในปี 2566 กำไรจะทะยานเป็น 1,900 ล้านบาท ยิ่งเป็นแรงหนุนราคาปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
อันดับ 3 บริษัท เนชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็ดดูเทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NINE ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 115.97% โดยราคาหุ้นปรับขึ้นจากระดับ 2.85 บาท (30ธ.ค.64) มาอยู่ที่ระดับ 8.25 บาท (31 ส.ค.65) โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมาจากประเด็นบอร์ดบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เมื่อวันที่ 2 มี.ค.65 มีมติอนุมัติให้ บริษัท พอยท์ ออฟ วิว (พีโอวี) มีเดีย กรุ๊ป จํากัด (“POV”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน NINE
โดย POV จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวเป็นจำนวน 953.50 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.651 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดภายหลังการเพิ่มทุนของ NINE ในราคาจองซื้อหุ้นละ 3.30 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,146.55 ล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 โดยเตรียมตั้งโต๊ะ “เทนเดอร์ฯ” สัดส่วนที่เหลือภายในไตรมาส 3/2565 จึงเป็นประเด็นที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นและหนุนให้ราคาทะยานแรงในช่วงดังกล่าว
อันดับ 4 บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 114.97% โดยราคาหุ้นปรับขึ้นจากระดับ 1.47 บาท (30ธ.ค.64) มาอยู่ที่ระดับ 3.16 บาท (31 ส.ค.65) โดยราคาปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องนับจากต้นเดือนสิงหาคมต้นมาทำให้ราคาขึ้นมายืนเหนือ 3 บาท หลังจากก่อนหน้าเคลื่อนไหวบริเวณ 1.60-1.70 บาท
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ตระกูล “ตรีวีรานุวัฒน์” โดยเป็นการขายของนายประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ และนางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ สัดส่วน ให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งสิ้น โดยเป็นการยืนยันว่าเป็นการขายเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือ Free float ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการซื้อขายคล่องขึ้น และทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นบนกระดานอย่างหนาแน่น โดย ณ วันที่ 18 มี.ค.65 ฟรีโฟลทอยู่ที่ 48.39%
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 65 นายประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ ได้ขายหุ้นออกมาอีกจำนวน 6.18% ส่งผลให้เหลือถือแค่ 472,993 หุ้น หรือคิดเป็น 0.06% และนางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ ได้เทขายหุ้นเกลี้ยงพอร์ต 9.08% ยิ่งทำให้หุ้นมีสภาพคล่องและทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา
อันดับ 5 บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 111.93% โดยราคาหุ้นปรับขึ้นจากระดับ 22.71 บาท (30ธ.ค.64) มาอยู่ที่ระดับ 57.75 บาท (31 ส.ค.65) เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการโตแกร่งในปีนี้ อีกแผนธุรกิจเด่นจากการลงนามบันทึกข้อตกลงกรอบความร่วมมือกับ TEAMG และปัจจุบันได้เริ่มเข้าไปศึกษาทำงานร่วมกันแล้ว และจะมีการเข้าร่วมประมูลงานร่วมกันในช่วงไตรมาส 4/2565 เนื่องจากงบประมาณภาครัฐเพิ่งผ่านมติจากสภาผู้แทนราษฎร โดยเบื้องต้นยังคงเป้าหมายในการเข้าประมูลงานร่วมกัน 1-2 โครงการ
ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจหลัก DITTO ปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog) ประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 50% และยังมีแผนเข้าร่วมประมูลงานใหม่ เข้ามาเสริมพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2565 มั่นใจว่า รายได้จะเติบโตกว่าปี 2564 และอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท
ด้านแหล่งข่าวใกล้ชิด นายธีระชัย รัตนกมลพร ผู้ถือหุ้นใหญ่ DITTO เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา นายธีระชัย ผู้ถือหุ้นใหญ่ TEAMG ได้รายงานซื้อหุ้น TEAMG เพิ่มเติมจากเดิม ทำให้ปัจจุบัน นายธีระชัย และคู่สมรส ถือหุ้นจำนวน 103 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 15.147% จากเดิมเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ถือหุ้นสัดส่วน 12.54% โดยสาเหตุที่นายธีระชัยซื้อหุ้นเพิ่มครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการจะเข้ามาลงทุนใน TEAMG อย่างแท้จริง เพราะมองว่าเป็นบริษัทที่ดีน่าลงทุนและมีอนาคต
ขณะที่ น.ส.นวลแพร ภัทรมัย ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผน และสื่อสารองค์การและนักลงทุนสัมพันธ์ TEAMG เปิดเผยว่า แผนงานธุรกิจช่วงครึ่งหลังปีนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง ส่วนปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกรวมกว่า 4,200 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2565 ประมาณ 30% ปัจจัยดังกล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้นักลงทุนมากขึ้นจึงเป็นเหตุให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน