“ชัยยศ” แนะเคาะขวา “แบงก์-ประกัน” รับดอกเบี้ยขาขึ้น
“ชัยยศ จิวางกูร” มองหุ้นไทยแค่พักฐาน หลังเงินเฟ้อสหรัฐ” เดือนส.ค. พุ่ง 8.3% สูงเกินคาดการณ์ ส่อเฟดขึ้นดอกเบี้ย 1% แนะหุ้นกลุ่มแบงก์-ประกันภัย พ่วง PSL–BTS ยังเข้าเก็งกำไรได้
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (14 ก.ย.65) ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ มีโอกาสที่จะร่วงแรงตามตลาดในภูมิภาค และดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวลงหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ “เงินเฟ้อสหรัฐ” เดือน ส.ค. พุ่ง 8.3% สูงเกินคาดการณ์ไว้ ทำให้มีความวิตกกังวลว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1% จากเดิมที่คาดการณ์กันว่าจะขึ้นเพียง 0.75%
ทั้งนี้บล.กรุงศรี มองว่า เรื่องนี้อาจทำให้ตลาดกังวลชั่วคราว เพราะเชื่อว่าเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเงินเฟ้อสหรัฐก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่เป็นที่พึงพอใจของเฟด จึงทำให้มองได้ว่าการร่วงลงมาของตลาดหุ้นไทยช่วงนี้อาจเป็นแค่การย่อลงมาพักฐาน ไม่ได้ร่วงลงแรงจนหมดรอบ แม้ว่าจะยังคงต้องจับตาประเด็น กนง.ที่จะมีการประชุมในเร็วๆนี้ ซึ่งหลายฝ่ายได้มีการคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโนโยบายสูงถึง 1%
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกเรื่องของการเปิดประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคัก รวมถึง GDP ไทยมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนไม่ควรวิตกกังวลมากจนเกินไป แนะนำว่า หากราคาย่อลงมาให้เข้าซื้อเก็งกำไรเล่นรีบาวด์
สำหรับหุ้นที่น่าซื้อเก็งกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น และ GDP ขยับตัวขึ้นนั้นกลุ่มน่าลงทุน คือ กลุ่มแบงก์ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่าง บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ให้ราคาเป้าหมาย 21 บาท จากปัจจัยบวกค่าระวางเรือที่ปรับสูงขึ้นมา
ถัดมาเป็นหุ้นบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นหลังจากการชนะคดี รวมถึงแผนการลงทุนใหม่ร่วมกับพันธมิตรที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ให้ราคาเป้าหมาย 11.30 บาท
นอกจากนี้จากการที่ไทยอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น บอนด์ยิลด์ขาขึ้น ทำให้นักลงทุนจับตาไปที่กลุ่มประกันภัย ยังคงมองว่ากลุ่มนี้ยังน่าเก็งกำไร แต่อาจต้องเข้าไปศึกษาว่าบริษัทต่างๆ นำเงินเข้าไปลงทุนต่อส่วนไหนบ้าง รวมถึงต้องจับตาดูเรื่องฝนตก น้ำท่วมขัง อาจทำให้มีการเคลมประกันภัยมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ไม่เติบโตเท่าที่ควร