TEGH เคาะราคาไอพีโอ 4.80 บ. เปิดจอง 21-23 ก.ย.นี้ ระดมทุนพันล้าน ขยายธุรกิจ

 TEGH เคาะราคาเสนอขายไอพีโอ หุ้นละ 4.80 บ. เสนอขาย 21-23 ก.ย.นี้ ระดมทุนพันล้าน หวังขยายธุรกิจและโครงการในอนาคต เดินหน้าเทรด SET 30 ก.ย.นี้


นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่่วไป (IPO) ในราคาหุ้นละ 4.80 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน 2565 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “TEGH” ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร

นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ กล่าวว่า  การกำหนดราคาไอพีโอที่ 4.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน TEGH  ถือเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมาก เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และการผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้สามารถควบคุมการผลิตและคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง กลุ่มลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ ยังเป็นผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกและประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Michelin Bridgestone Goodyear Deestone Sumitomo และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆอีกมากมาย

นอกจากนี้กลุ่มบริษัทฯ มีกระบวนการจัดการอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแบบบูรณาการ ทำให้สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นโมเดลสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนสู่การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มบริษัทฯ มีการจัดการของเสียแบบ Zero Management ได้แก่ การลดของเสียให้เป็นศูนย์ (Zero Waste) การไม่ปล่อยน้ำเสียออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ (Zero Discharge) การส่งเสริมให้เกษตรกร ลดการใช้ไฟเผาในการเตรียมพื้นที่เกษตรและนำของเสียจากกระบวนการผลิตภายในกลุ่มบริษัทฯ มาผลิตเป็นพลังงานชีวภาพ ทำให้กลุ่มบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายจากกระบวนการจัดการของเสียได้ (Waste to Value)

ทั้งนี้ภายหลังจากที่บริษัทฯ เข้าระดมทุนแล้ว จะทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และมีแหล่งเงินทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจที่จะทำให้บริษัทฯสามารถขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในระยะยาว ดังนั้นจึงมั่นใจว่า TEGH จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั้งนักลงทุน สถาบัน และประชาชนทั่วไปได้เป็นอย่างดี

โดย TEGH กำหนดขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 270 ล้านหุ้น  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท นอกจาก บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ ยังมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย อีก 3  แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัดและบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด

นายเฉลิม โกกนุทาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEGH กล่าวว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้นำการผลิตวัตถุดิบยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มดิบที่ยั่งยืน “Sustainable Material” โดยกลุ่มบริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) มีการผลิตพลังงานทดแทนเพื่อใช้ในกระบวนการผลิต และการนำกากของเสียมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มและเกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้สินค้าของกลุ่มบริษัทฯ จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Product) ทั้งนี้การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนใน SET จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายกำลังการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป

นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ TEGH เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2564 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการ เท่ากับ 11,087.76 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 562.64 ล้านบาท  โดยในปี 2564 กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงถึง 524.99 ล้านบาท จากปี 2563 เนื่องจากกลุ่มบริษัทฯ มีรายได้ของธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติและน้ำมันปาล์มดิบที่เพิ่มสูงขึ้น สาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยและปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าเพิ่มขึ้นจากสาเหตุเดียวกัน

สำหรับผลประกอบงวด 6 เดือนแรก ปี 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 7,536.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564 ที่ 5,214.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 45% ขณะที่กำไรสุทธิในงวด 6 เดือนแรก ปี 2565 อยู่ที่ 367.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2564 ที่ 258.15 ล้านบาท  คิดเป็นอัตราเติบโต 42%

Back to top button