“ดาวฟิวเจอร์” ร่วงกว่า 200 จุด กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง-บอนด์ยีลด์พุ่งเหนือ 3.9%
ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงกว่า 200 จุด กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง พ่วงบอนด์ยีลด์พุ่งเหนือ 3.9% นิวไฮรอบ 15 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์วันนี้(20ก.ย.65) ณ เวลา 19:44 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 201 จุด หรือ 0.65% สู่ระดับ 30,916 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 20-21 ก.ย.65
โดยคาดว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อโดยคาดว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะถูกกดดันจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75-1.00% ในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3.9% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ในวันนี้ และอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปี
การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวสูงกว่าระยะยาว ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย ท่ามกลางการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%
ทั้งนี้หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนก.ย. ก็จะส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 หลังจากปรับขึ้น 0.75% ทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ก็จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี
ด้านสถาบันวิจัย CFRA ระบุว่า หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.75% ในการประชุมสัปดาห์นี้ ก็จะเป็นการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเกินไป และจะฉุดให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลง
ทั้งนี้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวน 56 ครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% เพียง 7 ครั้ง และหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 2.4% ภายในเวลา 1 เดือน, ร่วงลง 1.3% ในเวลา 3 เดือน และฟื้นตัวขึ้น 0.1% ในเวลา 6 เดือน