โบรกเชียร์ซื้อ SNNP อัพเป้าใหม่ 21.20 บ. ลุ้นยอดขายพุ่ง ดันกำไร Q3 โต 60%
SNNP ลุยขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเวียดนาม พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จในกลุ่ม “Jele Beautie” ชี้ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด โบรกคาดไตรมาส 3/65 ยอดขายพุ่งดันกำไรโตแกร่งกว่า 60% จากช่วงเดียวของปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” อัพเป้าราคาเป็น 21.20 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (21 ก.ย.65) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ กล่าวถึงกรณี บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ว่า โมเมนตัมยอดขายที่แข็งแกร่ง ยังคงดำเนินต่อในไตรมาส 3/65 เนื่องจากการเปิดประเทศ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จ โดยบริษัทได้เปิดตัว Jele Beautie ซึ่งเป็นเรือธงของบริษัทเมื่อต้นเดือนก.ย. และได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ทั้งนี้ SNNP เป็นผู้นำตลาดโดยมีส่วนแบ่ง 76% ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่ม ทางฝ่ายวิจัยประเมินว่ายอดขายในไตรมาสที่ 3/65 ทั้งในประเทศและต่างประเทศจะเติบโตจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ซึ่งจะมาทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง
ขณะที่มีการประเมินอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/65 คาดว่ามีแนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากปัญหาด้านแรงงานเริ่มคลี่คลายลง ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2/65 อีกทั้งปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ส่วนการเปิดตัว Jele Beautie พร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่มีขนาดเล็กลง แต่ราคาเท่าเดิม จะช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น เนื่องจากมีการใช้วัตถุดิบและ บรรจุภัณฑ์ลดลง ทางด้านของค่าใช้จ่ายค่าโฆษณา คาดว่าจะเพิ่มขึ้น แต่เป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัย คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/65 จะแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องโดยเติบโตมากกว่า 60% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และกำไรจะเพิ่มขึ้นเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ในไตรมาส 4/65 เนื่องจากเป็นไฮซีซั่น ส่วนโรงงานผลิตในเวียดนามจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ต.ค. ตามแผน โดยจะผลักดันยอดขายตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป รวมทั้งช่วยลดต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งสำหรับสินค้าที่ขายในเวียดนาม
ส่วนกรณีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย 6.6% มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 คาดว่าจะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากค่าแรงคิดเป็น 10-12% ของต้นทุน อีกทั้ง SNNP มีการติดตั้งเครื่องจักรในการบรรจุสินค้าซึ่งจะลดจำนวนพนักงานลง
ขณะเดียวกันมีการปรับเพิ่มประเมินกำไรสุทธิในปี 65 ขึ้น 2% และกำไรสุทธิในปี 66 ขึ้น 5% สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้ม เติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของการบริโภค การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้รับการตอบรับดี และยังมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ ในเวียดนามซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเติบโต ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นทำให้มีการปรับไปใช้ราคาเป้าหมายใหม่ในปี 66 เพิ่มเป็น 21.20 บาทจากเดิม 18.80 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”