ไทยยกเลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ปลดล็อกเงิน “กองทุนต่างชาติ” ไหลเข้า 6 หุ้นบลูชิพ
เปิด 6 หุ้นลุ้นเม็ดเงิน “กองทุนต่างชาติ” ไหลเข้า อานิสงส์ไทยปลด “โควิด” พ้นโรคอันตราย “กรภัทร” ชู 6 หุ้นเปิดเมือง อาทิ ERW-CENTEL-BJC-CRC-SCB-BBL ฟากตัวเลขท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่ต้นปีแตะ 98.7 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวสะสม 432,889 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี วันนี้ (23 ก.ย.65) พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก. ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบค.ชุดใหญ่ เห็นชอบยกเลิกประกาศการบังคับใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กลับไปใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งมีผลให้ยุบ ศบค. ไปด้วย เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.65 เป็นต้นไป
ด้านสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ย. 65 มีนักท่องเที่ยวสะสม 98.7 ล้านคน-ครั้ง โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยวสะสม 432,889 ล้านบาท ทั้งนี้ จังหวัดที่คนไทยท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาเป็นชลบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี ตามลำดับ โดยภาพรวมรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย (คิดเป็น 67%) และจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (คิดเป็น 33%) อยู่ที่ 644,863 ล้านบาท
ทั้งนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสอบถามไปยัง นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับประเด็นการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินวันนี้
โดย นายกรภัทร มองว่าประเด็นดังกล่าวถือเป็นจิตวิทยาเชิงบวก และมีโอกาสที่จะมีกองทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น จากการปลดล็อกกฎระเบียบเงื่อนไขการลงทุนบางประการ โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากประเด็นนี้จะอิงกลุ่มอุปโภคและบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก อาทิ กลุ่มโรงแรม อย่าง ERW, CENTEL กลุ่มค้าปลีก BJC, CRC รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง SCB และ BBL ที่จะได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวจากการเปิดเมือง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำลงทุนในหุ้นโรงแรมและการบิน รับประเด็นยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเน้นกลุ่มโรงแรมในประเทศ ERW, CENTEL, VRANDA กลุ่มการบิน AOT, AAV และ BA และกลุ่มเปิดเมือง BJC, MAKRO, ONEE และ BEC
ขณะที่ นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงแรมปรับตัวขึ้นตอบรับประเด็น การประชุมการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ที่พิจารณายกเลิกโรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย และปรับลดเหลือแค่โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป หนุนการท่องเที่ยวไทยต่อเนื่อง และจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วย
โดยจะมีการพิจารณายกเลิกการตรวจเอกสารการฉีดวัคซีนโควิดของผู้เดินทางเข้าประเทศไทย รวมถึงการยกเลิกผลการตรวจคัดกรองโควิดบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง และการยกเลิกการกักตัวผู้ติดเชื้อโควิดอาการน้อย หรือไม่มีอาการ
พร้อมยกให้ CENTEL เป็นหุ้น TOP Pick มีราคาเป้าหมาย 49.00 บาท เนื่องจากธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมเติบโตได้ดี ต่างจากโรงแรมอื่นที่ไม่มีธุรกิจอาหาร แต่วันนี้ราคาหุ้น CENTEL ขึ้นแรงเกินราคาเป้าหมาย แนะนำระยะสั้นให้ Take profit
ด้าน นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ AOT จากปัจจัยบวกนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ต่างชาติเข้าไทยมากขึ้น ตามด้วย M ได้รับปัจจัยบวกจากการบริโภคในประเทศฟื้นตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากขึ้น
อนึ่งราคาหุ้นในกลุ่มเปิดเมืองที่ปิดตลาดภาคเช้าในแดนบวก อาทิ AOT ปิดภาคเช้าที่ระดับ 74.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 2.05% สูงสุดที่ระดับ 75.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 73.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.23 พันล้านบาท
ด้าน CENTEL ปิดภาคเที่ยงที่ระดับ 49.75 บาท บวก 3 บาท หรือ 6.42% สูงสุดที่ระดับ 50.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 49.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 734.30 ล้านบาท, ERW ปิดภาคเช้าที่ระดับ 4.30 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 0.94% สูงสุดที่ระดับ 4.56 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 4.28 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 361.85 ล้านบาท, ISS ปิดภาคเช้าที่ระดับ 9.10 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 7.06% สูงสุดที่ระดับ 9.15 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 8.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 86.77 ล้านบาท
ขณะที่ KAMART ปิดภาคเช้าที่ระดับ 6.20 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 5.08% สูงสุดที่ระดับ 6.45 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 256.13 ล้านบาท, ANAN ปิดภาคเช้าที่ระดับ 1.30 บาท บวก 0.04 บาท หรือ 3.17% สูงสุดที่ระดับ 1.31 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.26 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขาย 24.78 ล้านบน, AAV ปิดภาคเช้าที่ระดับ 2.96 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 2.07% สูงสุดที่ระดับ 3.04 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.94 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 257.58 ล้านบาท, BA ปิดภาคเช้าที่ระดับ 11.80 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.72% สูงสุดที่ระดับ 12 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 75.09 ล้านบาท