“พาย” คาดกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,600-1,640 จุด แนะ 6 กลุ่มลงทุนระยะสั้น
“พาย” คาดกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,600-1,640 จุด กังวลเศรษฐกิจถดถอย หลังเงินเฟ้อทรงตัวระดับสูง ดอกเบี้ยปรับขึ้นแรง แนะ 6 กลุ่ม “แบงก์-ส่งออก-ท่องเที่ยว-ค้าปลีก-โรงพยาบาล-สื่อสาร” ลงทุนระยะสั้น
บล.พาย (Pi) ประเมินกรอบ SET INDEX ทั้งสัปดาห์ที่ 1,600 – 1,640 จุด หลังตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปรับตัวลง 1.62% นักลงทุนยังคงกับประเด็นเดิม ๆ อย่างเงินเฟ้อทรงตัวระดับสูง ดอกเบี้ยปรับขึ้นแรง กระทบภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ BRT ที่ปรับลดลง 4.8% ตลาดกังวลกับอุปสงค์จะหายไปจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ประเมินกรอบ SET INDEX ทั้งสัปดาห์ที่ 1,600-1,640 จุด
โดยสัปดาห์นี้ปัจจัยหลักเน้นไปที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 28 กันยายน ข้อมูลจาก Bloomberg คาดว่า กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1% โดยเป็นการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 17 ท่าน จำนวน 13 ท่านคาดว่าที่ประชุม กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% และอีก 4 ท่านคาดว่าที่ประชุมจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50%
ดังนั้นเท่ากับว่าปัจจุบันตลาด Price In ดอกเบี้ยนโยบายไทยที่เพียง 0.25% แต่หาก กนง. ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ก็มีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลง ทั้งนี้การขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% มองว่ามิสามารถช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้แต่อย่างใด เนื่องจากส่วนต่างดอกเบี้ยสหรัฐฯกับไทยที่ยังห่างกันค่อนข้างมาก แต่หากปรับขึ้น 0.50% มีความเป็นไปได้ที่จะแข็งค่าขึ้นมาบ้างแต่ก็เชื่อว่าจะเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้นตามส่วนต่างที่ยังห่าง
โดยสรุปประเมินว่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าซึ่งจะกดดัน Fund Flow ต่างชาติแต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. จะเป็นบวกเชิงจิตวิทยากับกลุ่ม Bank ขนาดใหญ่ (BBL, KBANK, SCB) เป็นลบกับการเงิน (MTC, SAWAD, TISCO) รวมถึงกลุ่มส่งออก (ASIAN, HANA, KCE) ที่จะได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า ขณะเดียวกันในวันจันทร์กระทรวงพาณิชย์จะมีการเปิดเผยการค้าระหว่างประเทศ Bloomberg คาดมูลค่าส่งออกจะขยายตัว 7.7% เมื่อเทียบจากปีก่อน นำเข้า 18% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ดุลการค้าขาดดุลราว 3.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสะท้อนถึงเงินบาท ยังไหลออกมากกว่าไหลเข้ากดดันบาทอ่อนค่า
ส่วนต่างประเทศวันอังคารสหรัฐฯจะมีการรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CB) Bloomberg คาดที่ 104 หากออกมาสูงกว่าคาดก็จะเพิ่มความกังวลเงินเฟ้อและกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่แนะนำเพิ่มพอร์ตการลงทุนแม้ตลาดหุ้นจะเริ่มปรับฐานลงมาบ้างแล้วเนื่องจากระยะข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความเสี่ยง (1) กระแสเงินทุนต่างชาติขายสุทธิผลจากเงินบาทอ่อนค่า (2) เงินเฟ้อสูงกดดันดอกเบี้ยเร่งขึ้น (3) ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ส่วนหุ้นแนะนำในระยะสั้น ได้แก่ กลุ่มแบงก์ (BBL, KBANK, SCB) ส่งออก (ASIAN, TU) ท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA) ค้าปลีก (BJC, CRC, CPALL, DOHOME, GLOBAL) โรงพยาบาล (BCH, CHG) สื่อสาร (ADVANC, INTUCH)