รัฐขอประชาชน “สวมหน้ากากอนามัย” กันโควิดต่อหลัง 1 ต.ค.นี้
รัฐบาลขอบคุณประชาชนร่วมมือมาตรการภาครัฐ ทำระดับโควิด-19 ลดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง 1 ต.ค.นี้ วอนยังต้องสวมหน้ากากอนามัย เมื่อเข้าไปในสถานที่ผู้คนแออัด และเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลขอบคุณประชาชนทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการภาครัฐเป็นอย่างดีจนทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ส่งผลให้ ศบค. ได้มีมติยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร และกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศลดระดับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง (Post – Pandemic) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 แต่ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้ประชาชนทุกคนยังต้องมีการเฝ้าระวังและป้องกันตนเองจากโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้อยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย สามารถดำเนินชีวิตและขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกิจกรรมทางสังคมได้ตามปกติ
โดยกรณีผู้ที่มีอาการป่วยทางเดินหายใจให้ปฏิบัติตามมาตรการ DMHT โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือเมื่อต้องใกล้ชิดกับผู้อื่น ขณะที่ประชาชนทั่วไปแนะนำให้สวมหน้ากากเมื่อเข้าไปในสถานที่ผู้คนแออัด หรือพื้นที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท เช่น โรงพยาบาล สถานที่ดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็ก รวมไปถึงการขนส่งสาธารณะที่มีคนหนาแน่น อาทิ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน และให้ตรวจ ATK เมื่อมีอาการป่วยตามความจำเป็น
สำหรับในส่วนของหน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ ให้คัดกรองอาการป่วยของพนักงานเป็นประจำ โดยหากมีพนักงานป่วยจำนวนมากให้รายงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อจะได้ดำเนินการควบคุมและป้องกันได้ทันต่อสถานการณ์และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม
นอกจากการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข DMHT และการสวมหน้ากากอนามัยแล้ว ในส่วนประชาชนที่ไม่เคยรับการฉีดวัคซีน รวมถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ก็ขอความร่วมมือให้เข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว โดยสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ตามสถานพยาบาลที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานครกำหนด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย