“บล.พาย” แนะจับตาเฟ้อไทย-ประชุมโอเปกพลัส ชู 8 หุ้นปลอดภัยน่าสะสม

“บล.พาย” ประเมินกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,570-1,600 จุด แนะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานก่อนเลือกตั้งใหญ่กลางปีหน้า ชู 8 หุ้นปลอดภัย BCH-CHG-ASIAN-TU-PTTEP-BCP-SPRC-TOP รวมถึงหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับตัวลงมา ADVANC-CPALL-MAJOR-KCE-MINT


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (Pi) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สัปดาห์นี้แกว่งในกรอบ 1,570-1,600 จุด มองยัง Outperform ตลาดหุ้นโลก แนะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานก่อนเลือกตั้งใหญ่กลางปีหน้า

ทั้งนี้ ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปรับลง 1.7% หลักๆ เป็นผลจากการรายงาน PCE ที่สูงกว่าตลาดคาดหมายไว้ เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและส่งผลให้ตลาดกังวลกับแนวโน้มดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่วนด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปรับตัวลง 0.6% หลักๆ นักลงทุนกังวลกับอุปสงค์ที่จะหายไปจากการขึ้นดอกเบี้ย

โดยสัปดาห์นี้ตลาดจะให้น้ำหนักกับการรายงานเงินเฟ้อไทยประจำเดือน ก.ย. ในวันพุธ Bloomberg Consensus คาดที่ 6.5% เทียบกับปีก่อน, 0.4% เทียบกับเดือนก่อน ทั้งนี้หากพิจารณาสินค้าที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงเงินเฟ้อสูง อย่างราคาน้ำมันจะพบว่าราคาน้ำมันดิบ BRENT ในเดือนกันยายนติดลบราว 7.4%MoM ดังนั้น คาดว่าเงินเฟ้อที่จะประกาศออกมาน่าจะใกล้เคียงกับนักวิเคราะห์คาดและมองว่าไม่น่ามีผลอะไรกับตลาดหุ้นมากนัก

ส่วนปัจจัยต่างประเทศจะเน้นไปที่ (1) การประชุม OPEC+ ในวันพุธ (คาดทราบผลทางการช่วงวันพุธกลางคืนตามเวลาประเทศไทย) เบื้องต้นมีรายงานออกมาว่าที่ประชุมจะลดกำลังการผลิตราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน หากออกมาตามนี้ก็เชื่อว่าไม่มีผลกับราคาน้ำมันดิบมากนัก คาดว่าปัจจุบันตลาดกำลังให้น้ำหนักกับอุปสงค์ที่จะหายไปจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย

(2) ภาคแรงงานสหรัฐในวันอังคารได้แก่ตำแหน่งงานเปิดรับสมัคร Bloomberg คาดที่ 11.35 ล้านตำแหน่ง หากสูงกว่าคาดก็จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นต่อความกังวลเงินเฟ้อ และในวันศุกร์จะมีตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร Bloomberg คาดที่ 2.65 แสนตำแหน่งและอัตราการว่างงานที่ 3.7% หากสูงกว่าคาดก็จะเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อและกดดันตลาดหุ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ เมื่อประเมินจากหลายๆปัจจัยพบว่ายังเต็มไปด้วยปัจจัยกดดันจึงมองว่าตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในแนวโน้มขาลง แต่เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นไทยพบว่ามีโอกาสที่จะ Outperform ตลาดหุ้นโลกด้วยเหตุผล (1) เศรษฐกิจไทยกำลังได้แรงหนุนจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่การรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวรับแรงหนุนจากการ ท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน ส่วนการบริโภคทรงตัวแต่ใส้ในขยายตัวทุกหมวดยกเว้นสินค้าไม่คงทน (2) การเลือกตั้งใหญ่ช่วงกลางปีหน้าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย สถิติในอดีตที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำนักลงทุนระยะกลางถึงยาวเริ่มทยอยสะสมได้บางส่วนในหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาปรับลงมา (ADVANC, CPALL, MAJOR, KCE, MINT) ส่วนหุ้นแนะนำระยะสั้นยังเน้น Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BCH, CHG) ส่งออก (ASIAN, TU) น้ำมัน (PTTEP) โรงกลั่น (BCP, SPRC, TOP)

PTTEP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 179.00 บาท) คาดกำไรโตแข็งแกร่งต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 65 เพราะผู้บริหารให้แนวทางปริมาณขายที่โตอีก 16% จากปีก่อน และ 9% เทียบกับช่วงเดียวกันของครึ่งปีก่อน เป็น 487kBOED หนุนจากการเร่งผลิตจากโครงการ G1/61 (เอราวัณ) และแอลจีเรียที่เริ่มเดินเครื่องในไตรมาส 2/65 นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้ปริมาณขายเต็มปีจากโครงการ Malaysia Block H และ Oman block

BCP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท) คาดกำไรปกติในไตรมาส 3/65 อ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน จากค่าการกลั่นที่ลดลงจากยอดสูงในไตรมาส 2/65 แต่คาดว่าในเชิงเทียบกับปีก่อนจะยังแข็งแกร่งที่ US$10/bbl. เพิ่มจาก US$3.1/bbl. ในไตรมาส 3/64 ขณะที่มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อภาพรวมในไตรมาส 4/65 หนุนจากราคาก๊าซที่สูงขึ้นจากช่วง high season ในยุโรป

Back to top button