ORI เปิดยอดพรีเซล 9 เดือนแรกโต 28% จ่อผุด 13 โครงการ Q4 มูลค่า 1.5 หมื่นล้าน
ORI กวาดยอดพรีเซล 9 เดือนแรก โต 28% ทะลุ 2.9 หมื่นล้านบาท ส่งซิกไตรมาส 4/65 เดินหน้าเปิดคอนโด-บ้านจัดสรร 13 โครงการใหม่ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายทั้งปีนิวไฮแตะ 3.9 หมื่นล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 เดือนม.ค.-ก.ย.65 บริษัทมียอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมสะสมแล้วกว่า 29,398 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 28% คิดเป็นราว 84% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 35,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ Ready to move 48% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง On Construction 52%
“สถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง ส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน โครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ ซึ่งมีทำเลที่ตั้งติดแนวรถไฟฟ้า รวมถึงใกล้แหล่งงาน สถาบันการศึกษา ชุมชนที่มีกำลังซื้อสูงทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และ EEC ได้รับการพัฒนาคอนเซ็ปต์มาให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของ Gen Y และ Gen Z ยุคใหม่อย่างเต็มที่ เมื่อประกอบกับการเดินหน้าจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องในกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ เช่น แคมเปญภารกิจปิดดีลเดือด ส่งผลให้เรามียอดขายที่แข็งแกร่งจากทั้งฝั่งโครงการใหม่และโครงการพร้อมอยู่ โดยไตรมาส 3/2565 สามารถกวาดยอดขายได้ถึงกว่า 11,626 ล้านบาท เป็น New High ของไตรมาสนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายพีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ แบรนด์ที่ได้รับการตอบรับดีอย่างมากในช่วง 9 เดือนแรก ได้แก่ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมเจาะตลาดกลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่ม Gen Z และ บริกซ์ตัน (Brixton) แบรนด์คอนโดมิเนียมเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในราคาเข้าถึงได้ (Affordable Niche) จากการผสานจุดขายโดนใจผู้บริโภค อาทิ คอนเซ็ปต์ Pet Lover Condo ห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร ส่งผลให้หลายโครงการภายใต้ 2 แบรนด์ดังกล่าวที่เปิดขายเมื่อต้นปีนี้ มียอดขายสะสม (Take up rate) มากกว่า 80%
อีกทั้งยัง Sold out โครงการที่เพิ่งเปิดใหม่ในปี 65 ไปถึง 2 โครงการภายในครึ่งปีแรก คือ โครงการโซ ออริจิ้น เกษตร (So Origin Kaset) และโครงการ บริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความสำเร็จของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับคน Gen Y และ Gen Z และถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จเช่นเดียวกับแบรนด์ในระดับลักชัวรีอย่างพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ
“สำหรับไตรมาส 4/65 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับเข้าสู่สถานะไฮซีซั่นที่ใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด-19 ที่สุดในรอบหลายปี ภาพรวมตลาดจะมีการแข่งขันเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมากในช่วงดังกล่าว และมีการทำการตลาดกันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกำลังซื้อฟื้นตัวขึ้นมาก ขณะที่ต้นทุนการพัฒนาโครงการยังไม่ปรับขึ้นมากนัก อีกทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้าหลายสายมีความคืบหน้าไปมาก” นายพีระพงศ์ กล่าว
โดยในสภาวะที่ทุกบริษัทเปิดโครงการจำนวนมาก Key Success Factor หรือปัจจัยสู่ความสำเร็จของช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ จึงเป็นการเลือกบุกเซ็กเมนท์ ราคา และทำเลที่เหมาะสม ออริจิ้น ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยราคาจับต้องได้ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ และแถบ EEC ที่มีความต้องการสูง แต่ยังมีคู่แข่งไม่มากนัก ขณะเดียวกัน ก็ทยอยเปิดโครงการในเซ็กเมนท์อื่นๆ ในทำเลศักยภาพสูงด้วย
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/65 อีกทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,950 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 8,600 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่า 6,350 ล้านบาท เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และสร้างยอดขายได้อย่างดีในช่วงโค้งสุดท้าย ส่งผลให้ยอดขายทั้งปีของบริษัททะลุ 35,000 ล้านบาท สร้างสถิติ All Time High อีกครั้งได้ตามเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้
สำหรับบริษัท ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย ดังนี้
1. ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 112 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/65) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 172,000 ล้านบาท
- ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม, เซอร์วิส, อพาร์ตเมนท์, ค้าปลีก
3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจตัวแทนซื้อ, ขาย, เช่า, อสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์
4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์, ธุรกิจเฮลท์แคร์, ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจพลังงาน ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร