โบรกแนะสอย 8 หุ้นเด่น ต.ค. รับเปิดเมือง-ดอกเบี้ยขาขึ้น
“บล.ทิสโก้” แนะสอย 8 หุ้นเด่น BANPU, BBL, BDMS, BEM, DTAC, KISS, MTC และ PIMO ลงทุนเดือนต.ค. เน้นการลงทุนหลายธีม เพื่อกระจายความเสี่ยง รับเปิดเมือง รวมถึงได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ตัวชี้สำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงดีอยู่ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย คาดจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาขยายตัวมากกว่าระดับ 3% ในช่วงไตรมาส 3/2565 และไตรมาส 4/2565
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ “ภาวะถดถอยที่แท้จริง” โดยในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เพราะคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะขึ้นมาสู่ระดับ 4.25-4.50% ในปีนี้ และ 4.50-4.75% ในปีหน้า และอัตราการว่างงานที่ควรจะต้องสูงกว่าระดับ 5% ขึ้นไป จึงจะทำให้เฟดพอใจที่จะกดเงินเฟ้อปรับตัวลงได้
โดยปัจจุบันทั้ง 3 ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะหมีครบหมดแล้วหลังจากลงไปมากกว่า -20% จากที่เคยขึ้นสูงสุดในช่วงปลายปีที่แล้ว แต่สถานการณ์ขณะนี้มองว่านักลงทุนควรเผื่อใจไว้สำหรับกรณีที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถลำลึกเข้าสู่ภาวะหมีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อิงจากการศึกษาในอดีตนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 เป็นต้นมา
ทั้งนี้พบว่า จะกินเวลาเฉลี่ยประมาณ 14 เดือน และจะปรับตัวลงเฉลี่ยประมาณ -34% จากจุดสูงสุด เพราะฉะนั้น หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะหมีเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต อาจเห็นจุดต่ำของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงปลายไตรมาส 1/2565 ถึงต้นไตรมาส 2/2566 ที่ระดับดัชนี S&P500 บริเวณ 3,140-3,240 จุด หรือคิดเป็นโอกาสการปรับลดลง (Downside) อีกราว 10-12% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 3,600 จุด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4/2565 มีลุ้นผลกระทบเชิงบวกจากการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ((US Mid-Term Elections Rally) ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7.3% ด้วยระดับความเชื่อมั่นสูงถึง 86% น่าจะเป็นความหวังหนึ่งที่อาจช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนได้ หลังจากที่ปลายไตรมาส 3/2565 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทิ้งตัวลงอย่างหนักแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี
สำหรับการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วงกลางเดือนนี้ หากจีนส่งสัญญาณผ่อนคลายการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบาย “Zero Covid” รวมทั้งการเร่งรัดนโยบายการคลังเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองเชิงบวกต่อผลการประชุมดังกล่าว เนื่องจากไทยพึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยวจากจีนมากเป็นอันดับ 1 น่าจะได้ประโยชน์สูง
ด้านงบแบงก์ของไทยที่จะทยอยประกาศผลประกอบการในช่วงกลางเดือนนี้ ประเมินว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ทั้ง 7 แห่งจะออกมาดี มีกำไรสุทธิโดยรวมอยู่ที่ 5.08 หมื่นล้านบาทใน 3/2565 เพิ่มขึ้น 28.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หลักๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและการเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่การตั้งสำรองฯ ในไตรมาสนี้คาดว่าจะลดลงได้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
โดยสรุป ถึงแม้ตลาดหุ้นโลกช่วงนี้จะมีความผันผวนสูง และกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตาม แต่ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) และเป็นไปตามที่มองไว้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จึงมองว่าเป็นจังหวะซื้อสะสมช่วงสุดท้ายของปีนี้
สำหรับ หุ้นที่ทางฝ่ายวิจัยแนะนำในเดือนตุลาคมนี้ จะเน้นการลงทุนในหลายๆ ธีม เพื่อกระจายความเสี่ยง ได้แก่ 1. ธีมหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับขึ้น ได้แก่ BBL 2. ธีมหุ้น Re-opening ธุรกิจมั่นคงมีความทนทานสูงต่อภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ได้แก่ BDMS และ BEM 3.ธีมหุ้นที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัวเด่น ได้แก่ DTAC, KISS และ PIMO 4. ธีมหุ้น Bottom Fishing ได้แก่ BANPU และ MTC
เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนตุลาคม คือ BANPU, BBL, BDMS, BEM, DTAC, KISS, MTC และ PIMO ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,575-1,580 จุด แนวรับต่อไปที่ 1,530-1,550 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,600-1,610 จุด และแนวต้านต่อไปที่ 1,630 จุด 1,650 จุด และ 1,675 จุดตามลำดับ