MINT ส่งซิกครึ่งปีหลังสดใส ยอดจองโรงแรม “ไทย-ยุโรป” ฟื้น – รายได้ร้านอาหารโต
MINT มองแนวโน้มผลประกอบการเติบโต หลังยอดจองโรงแรมในไทยและยุโรปฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายร้านอาหารเติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า ปัจจุบันโรงแรมทั่วโลกยังอยู่ในความต้องการของลูกค้าทั้งในและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่ยังคงพุ่งทะยาน เนื่องจากโรงแรมของบริษัทตั้งอยู่ในโลเคชั่นใจกลางเมือง และเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยว และบริษัทไม่หวั่นภาวะเศรฐกิจถดถอย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นค้าระดับ Hi-end
อีกทั้งเรื่องราคาต้นทุนต่างๆ ที่สูงขึ้นบริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างดี ทั้งราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาต้นทุนวัตถุดิบ โดยบริษัทได้มีการได้เจรจากับผู้ประกอบการไฟฟ้าในทวีปยุโรปเพื่อล็อกราคาพลังงานและยังทำสัญญาซื้อวัตถุดิบในแต่ละประเทศให้ต้นทุนอยู่ในระดับคงที่ นอกจากนี้ ในส่วนของดอกเบี้ยขาขึ้น MINT ก็ได้บริหารจัดการเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มสัดส่วนดอกเบี้ยคงที่ให้สูงขึ้น และจ่ายคืนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสูงบางส่วนในทวีปยุโรป ดังนั้น แนวโน้มครึ่งปีหลังและปีหน้าเติบโตสดใสกว่าเดิมแน่นอน
สำหรับผลประกอบการธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปยังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการเข้าพักในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3 ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่เกือบร้อยละ 70 ขณะที่ราคาค่าห้องพักในสกุลเงินยูโรอยู่ที่มากกว่า 130 ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 3 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ถึงร้อยละ 22
โดยในเดือนกันยาและตุลาคม ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้นไปอีก โดยมีอัตราการเข้าพักที่สูงกว่าร้อยละ 70 และ ราคาค่าห้องพักที่สูงถึง 140 ยูโรต่อคืนในเดือนกันยายน
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงค์อย่างเต็มที่จากการเปิดประเทศ อัตราการเข้าพักเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 ในขณะที่ราคาค่าห้องพักในไตรมาส 3 กลับมาสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 ถึงร้อยละ 9 พร้อมกันนี้ บริษัทมีความพร้อมเป็นอย่างมากที่จะต้อนรับ Demand ที่จะเข้ามาอย่างล้นหลามในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว โดยคาดว่าในไตรมาส 4 ธุรกิจโรงแรมของบริษัทในประเทศไทยจะมีอัตราการเข้าพักที่สูงถึงมากกว่าร้อยละ 60
ด้านธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยยังคงเติบโต รายได้ต่อร้านเดิม (SSS) สำหรับร้านอาหารในประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอัตรามากกว่าร้อยละ 10 จากการฟื้นตัวของการนั่งรับประทานในร้าน ขณะที่ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) สำหรับร้านอาหารในประเทศไทยเติบโตในอัตราที่สูงกว่ามาก อยู่ที่มากกว่าร้อยละ 50
ส่วนของฐานต้นทุนต่ำและการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง เป็นเกราะป้องกันช่วยปกป้อง Margin โดยในปี 2562 (ช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19) ค่าสาธารณูปโภคคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณร้อยละ 4 ของรายได้ของบริษัท อีกทั้งบริษัทได้มีการได้เจรจากับทางผู้ประกอบการไฟฟ้าในทวีปยุโรปเพื่อล็อกราคาพลังงานในระดับที่คงที่แล้ว ส่งผลให้ในปี 2565 จะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากต้นทุนสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาพลังงานทั้งหมดของ MINT สำหรับปี 2565 ได้ป้องกันความเสี่ยงไว้ที่ ณ ราคาปี 2564 แล้ว
สำหรับปี 2566 บริษัทได้ทำสัญญาเพื่อล็อกราคาพลังงานในสัดส่วนร้อยละ 65 ของสัญญาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว และจะดำเนินการเพื่อล็อกราคาต่อไปในบางประเทศในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้อุปสงค์ที่มากขึ้นโดยเฉพาะการเดินทางสำหรับธุรกิจ และกลยุทธ์การขึ้นราคาค่าห้องพักอย่างต่อเนื่องของบริษัทจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
โดยบริษัทมีแผนบรรเทาผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น MINT ได้ประสบความสำเร็จในการเพิ่มสัดส่วนของหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่จากน้อยกว่าร้อยละ 50 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็นเกือบร้อยละ 60 ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 ผ่านการชำระคืนหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวก่อนกำหนด และการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Hedging) นอกจากนี้ ด้วยเงินสดในมือ 26 พันล้านบาท MINT ยังวางแผนที่จะชำระหนี้บางส่วนเพิ่มเติมอีกด้วย