“ดาวโจนส์” ปิดพุ่งกว่า 800 จุด รีบาวด์ทางเทคนิค-แรงซื้อคืนหนุนตลาด

“ดาวโจนส์” ปิดพุ่งกว่า 800 จุด รีบาวด์ทางเทคนิค-แรงซื้อคืนหนุนตลาด หลังร่วง 6 วันติด และดิ่งหนักในการซื้อขายช่วงเช้า หลังดัชนี CPI เดือนก.ย.สูงเกินคาด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 800 จุดในวันพฤหัสบดี (13 ต.ค.) โดยปัจจัยหนุนทางเทคนิคและการเข้าซื้อคืนหุ้นได้ช่วยให้ตลาดดีดตัวขึ้นอย่างมาก หลังจากร่วงลงอย่างหนักในการซื้อขายช่วงเช้า

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,038.72 จุด เพิ่มขึ้น 827.87 จุด หรือ +2.83%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,669.91 จุด เพิ่มขึ้น 92.88 จุด หรือ +2.60% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,649.15 จุด เพิ่มขึ้น 232.05 จุด หรือ +2.23%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น หลังจากติดลบ 6 วันติดต่อกัน และร่วงลงอย่างหนักในการซื้อขายช่วงเช้า หลังจากการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย.ที่สูงเกินคาด ซึ่งได้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า

โดยดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์วันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2563 หลังจากร่วงลงเกือบ 550 จุดแตะระดับต่ำสุดของวัน

ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้นเกือบ 194 จุด ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นระหว่างวันมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. และนักวิเคราะห์บางรายระบุว่า ดัชนี S&P500 มีแนวรับทางเทคนิคอยู่ที่ราวระดับ 3,500 จุด

ขณะที่หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงาน พุ่งขึ้นมากที่สุด 4.14% และ 4.08% ตามลำดับ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากร่วงลงในช่วงแรก โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยดัชนี CPI ของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาด

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (13 ต.ค.) ว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 8.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 8.1% และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 0.3%

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 6.6% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 6.5% และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. โดยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง

ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า สหรัฐยังคงเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ และไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลงสู่ระดับที่อาจทำให้เฟดยกเลิกการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

สำหรับทิศทางตลาดในระยะต่อไปนั้น บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ของบริษัทจดทะเบียน โดยจะเริ่มจากบรรดาธนาคารขนาดใหญ่ในวันศุกร์นี้ (14 ต.ค.) เพื่อดูว่า ภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อผลกำไร

โดยหุ้นวอลกรีนส์ บูตส์ อัลไลแอนซ์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีก พุ่งขึ้น 5.4% หลังเปิดเผยผลประกอบการดีกว่าคาด

ส่วนหุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่ง 5.3% หลังเปิดเผยว่าบริษัทจะคิดค่าบริการ 6.99 ดอลลาร์สำหรับการสมัครสมาชิกแบบมีโฆษณา

ขณะที่หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 2.3% หลังเปิดเผยว่า ข้อมูลจากการทดลองทางคลินิกเฟส 2/3 บ่งชี้ว่า วัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นซึ่งเป็นชนิดไบวาเลนต์ (bivalent) ในการป้องกันไวรัสโอมิครอน 2 สายพันธุ์ย่อย (BA.4/BA.5) นั้นให้ผลในเชิงบวกในการปกป้องผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

Back to top button