DPAINT ปลื้ม “กองทุนไทย-ต่างประเทศ” เข้าถือหุ้น 15% ตอกย้ำศักยภาพบริษัทแกร่ง
DPAINT ปลื้มกองทุนไทยและต่างประเทศชั้นนำร่วมเข้าถือหุ้น 15% หรือ 34 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 326.40 ล้านบาท ชี้เชื่อมั่นศักยภาพบริษัทแข็งแกร่ง ฟากผู้ถือหุ้นใหญ่ยืนยันถือหุ้นใหญ่กว่า 50% โครงสร้างการบริหารเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
นายอรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT เปิดเผยว่า มีกองทุนชั้นนำหลายแห่ง ทั้งกองทุนระดับโลกและกองทุนชั้นนำของไทยหลายแห่งเข้ามาเป็นพันธมิตรระยะยาวกับบริษัทฯ โดยถือหุ้นรวมกันกว่า 15% หรือ 34 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 9.60 บาท มูลค่ารวม 326.40 ล้านบาท ใน DPAINT และแสดงความจำนงจะถือลงทุนระยะยาว เป็นการยืนยันว่า DPAINT เป็น บริษัทที่มีศักยภาพทางธุรกิจที่ดี ผู้บริหารรุ่นใหม่ มีความคิดสร้างสรร คิดนอกกรอบ พร้อมที่จะสร้างการเติบโตทั้งในธุรกิจเดิม และรวมถึงการขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่มีอนาคตกว้างไกล และให้ผลการตอบแทนที่น่าพอใจซึ่งบริษัทฯกำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการใหม่หลายโครงการ โดยขอให้ความมั่นใจกับผู้ถือหุ้น คณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ มีความมุ่งมั่น ที่จะสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจการตลาดและการเงินต่างๆ อาทิ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาด ตลอดจนขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เคมีภัณฑ์ก่อสร้าง ตลอดจนการขยายตลาดต่างประเทศ CLMV ซึ่งมีหลายประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา
อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปดูผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ของDPAINTพบว่าที่เติบโตดี มีกำไรสุทธิ 13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาส 1/2565 ที่มีกำไรสุทธิ 10.9 ล้านบาท ในขณะที่งบครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 23.4 ล้านบาท โดยผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 แสดงให้เห็นว่า บริษัทฯ สามารถทำให้กำไรสุทธิกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีความคล่องตัวในการบริหารสูง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดค่าใช้จ่ายวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายการบริหารได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงทำให้บริษัทสามารถแก้ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบด้านโภคภัณฑ์ พุ่งแรงในจากไตรมาส 1/2565 โดยทาง DPAINT ได้ขึ้นราคาสินค้าในอัตรา 6%-12% เพื่อรักษาอัตรากำไรและสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงลดต้นทุนวัตถุดิบ และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีกด้วย ทำให้บริษัทฯลดต้นทุนการผลิตลงได้ประมาณ 3%-5% จึงคาดว่าอัตรากำไรของบริษัทฯ จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่า ในครึ่งปีหลัง ผลประกอบการจะเติบโตดีขึ้นตามลำดับ
ล่าสุด DPAINT ได้เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ล่าสุด ทำให้ยอดสั่งจองสินค้าสูงถึง 100 ล้านบาท โดยสินค้าที่เป็นมาสเตอร์พีซ ซึ่งได้รับการพัฒนาและวิจัยโดย Delta Paint Quality Lab มี 3 กลุ่ม คือ 1. DELTA SHIELD 4D สีทาอาคาร สีคุณภาพสูงที่เป็นสินค้าตัวหลักของสีเดลต้ามานานกว่า 10 ปี ได้มีการปรับรูปแบบใหม่พร้อมพัฒนาสูตรโดยใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยเพื่อให้คุณภาพดียิ่งขึ้น และยังตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานทุกกลุ่ม 2. DELTA FIBER CEMENT SHIELD (สีไฟเบอร์ซีเมนต์) และ 3. DELTA DECKING STAIN (สีทาไม้สังเคราะห์) เป็นสินค้ากลุ่มใหม่ ที่เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของบริษัทฯ เพื่อพัฒนานวัตกรรรมให้มีความหลากหลาย พร้อมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รองรับกับความต้องการของทุกกลุ่มลูกค้าในตลาด อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในบริหารให้ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องของการกระตุ้นยอดขายได้ดีมากขึ้น ที่สำคัญบริษัทฯ ยังได้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อมให้ตอบโจทย์กับความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่ว่า DPAINT คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่คงทนมากขึ้นและใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยลง เพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นนวัตกรรม “VAKUUM Technology” จากประเทศเยอรมนี และรุกตลาด Blue Ocean มากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ทั้งสีทาอาคารและ กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ กลุ่มเคมีก่อสร้าง รวมถึงขยายกลุ่มเซ็กเม้นท์พรีเมียม เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของ DPAINT มีสัดส่วนสีคุณภาพพิเศษ 40% สีคุณภาพสูง 30% และสีคุณภาพคุ้มค่า 30% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ โดยจำหน่ายผ่านช่องทางการจำหน่ายรวมกันมากกว่า 1,500 สาขา เกือบทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) ร้านค้าปลีก (Retail) และงานโครงการ (Project) รวมทั้ง การบริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครื่องผสมสีทั้งหมด 505 เครื่อง โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 600 เครื่อง ภายในสิ้นปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการขยายช่องทางในการจัดจำหน่ายที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น และจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น