DTCENT ปลื้ม “โรดโชว์ออนไลน์” กระแสแรง ชูจุดเด่น GPS เบอร์ 1 ไทย
DTCENT ปลื้มกระแสตอบรับโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์คึกคัก สะท้อนความเชื่อมั่นธุรกิจผู้ให้บริการอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ GPS เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย พร้อมเข้าจดทะเบียนใน SET ปีนี้
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT เปิดเผยว่า ผู้บริหารของ DTCENT และที่ปรึกษาทางการเงินได้ร่วมกันจัดโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ให้นักลงทุนแบบสาธารณะ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจถึงรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจและแผนงานในอนาคต รวมทั้งได้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของ DTCENT ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมากภายหลังจากที่ได้ระดมทุนและนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมที่จะระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปีนี้ ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
“การโรดโชว์ผ่านระบบออนไลน์ในครั้งนี้ นักลงทุนทั่วไปให้การตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมชมไลฟ์สดอย่างคึกคัก สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อ DTCENT ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม GPS โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) ประกอบกับผลประกอบการที่่ผ่านมา มีการเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงผู้บริหาร DTCENT ได้แสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นถึงศักยภาพโดยรวมของธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ฐานะการเงินมั่นคง และในอนาคตยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก หลังจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีศักยภาพมากขึ้น” นายเอกจักรกล่าว
ทั้งนี้ DTCENT มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 305 ล้านหุ้น โดยเป็นการเพิ่มทุนจาก 900 ล้านหุ้น เป็น 1,205 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด และบริษัทฯ คาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 2565
ทั้งนี้ เนื่องจาก DTCENT ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ, ผลิต, จัดจำหน่าย และให้บริการเช่าอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) รวมถึง ระบบเทเลเมติกส์สำหรับยานพาหนะและซอฟต์แวร์สำหรับบริหารงานขนส่งอย่างครบวงจร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาโครงการไอโอทีโซลูชั่น (IoT Solution) ที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าทั้งในภาครัฐบาล และในภาคเอกชน และปัจจุบัน DTCENT มีบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท วิศวกรรม ซอฟต์แวร์ จำกัด (WS) บริษัท ไทย ดิจิทัลแมพ จำกัด (TDM) และบริษัท ดี คอร์ ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ จำกัด (DCORE) โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 90.00 ร้อยละ 95.00 และ ร้อยละ 90.00 ตามลำดับ
ด้านนายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT กล่าวว่า วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
โดยบริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจาก 2 พันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ถือหุ้นใน DTCENT จำนวน 18% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) โดย YES จะร่วมพัฒนาให้ DTCENT เป็น Tier 1 Supplier ในการดำเนินธุรกิจ OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ถือหุ้นจำนวน 15% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งถือเป็นพันธมิตรหลักที่จะเข้ามาส่งเสริมเพิ่มศักยภาพ ให้แก่บริษัทในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์
ทั้งนี้นอกจากธุรกิจ GPS Tracking แล้วกลุ่มบริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเป็นระบบอัจฉริยะในกลุ่มงาน IoT อันประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการน้ำ, ระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT
“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของ DTCENT ให้บริษัทฯ มีความมั่นคงด้านฐานการเงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลมากขึ้น และด้วยประสบการณ์ของทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 25 ปี รวมถึงมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่า ในอนาคตบริษัทฯ มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า ลูกค้า รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายทศพล กล่าว