“ดาวโจนส์” พุ่ง 400 จุด ขานรับดัชนี PCE-แรงซื้อพลังงานหนุน หลังกำไร Q3 โตกว่าคาด

“ดาวโจนส์” ทะยาน 408.96 จุด รับดัชนี PCE สอดคล้องคาดการณ์ บ่งชี้เงินเฟ้อสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว อาจลดแรงกดดันเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย และหุ้นกลุ่มพลังงานต่างดีดตัวขึ้น หลังเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3 สูงกว่าคาด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 400 จุด ขานรับการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และจะลดแรงกดดันในการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นอกจากนี้ ตลาดคาดว่าการทรุดตัวของดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ในเดือนก.ย. จะทำให้เฟดผ่อนคันเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน

ณ เวลา 20.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,442.24 จุด บวก 408.96 จุด หรือ 1.28%

สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานต่างดีดตัวขึ้นในวันนี้ หลังเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่พุ่งขึ้น นับตั้งแต่ที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนในเดือนก.พ.

โดยสำนักงานสถิติกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 6.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี หลังจากปรับตัวขึ้น 6.2% เช่นกันในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.3% เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.3% เช่นกันในเดือนส.ค.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 5.1% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.2% แต่สูงกว่าระดับ 4.9% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

ด้านราคาหุ้นบริษัทเอ็กซอน โมบิล คอร์ป และเชฟรอน คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐ ต่างพุ่งขึ้นในวันนี้

โดยบริษัทเอ็กซอนเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรในไตรมาส 3 สูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 152 ปี โดยมีกำไร 1.97 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 746,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับกำไรของบริษัทแอปเปิล อิงค์ในไตรมาสเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.07 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 784,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เอ็กซอนเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 4.68 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.86 ดอลลาร์/หุ้น

นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.12 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.05 แสนล้านดอลลาร์

ส่วนเชฟรอนเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 1.12 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นกำไรสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และสูงเกือบ 2 เท่าจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 6.1 พันล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ เชฟรอนระบุว่า บริษัทมีกำไร 5.78 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.86 ดอลลาร์/หุ้น

นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 6.664 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 5.736 หมื่นล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกันสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ดิ่งลง 10.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2553 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีจะลดลงเพียง 4% เมื่อเทียบรายปี ดัชนีทรุดตัวลง 31% ในเดือนก.ย.

สำหรับการทำสัญญาขายบ้านได้รับผลกระทบจากสต็อกบ้านในระดับต่ำ, ราคาบ้านที่พุ่งสูง และการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง

ทั้งนี้ ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เป็นมาตรวัดจำนวนสัญญาซื้อบ้านมือสองที่มีการเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดการขาย และโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนสำหรับการเซ็นสัญญาจนกระทั่งปิดการขาย

Back to top button