ลุ้น AAI เทรดวันแรกทะลุ 7 บ. ลุยขยายกำลังผลิต โบรกฟันกำไร 3 ปีโต 14%

“เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” หรือ AAI เข้าเทรดวันนี้ (1 พ.ย.) วันแรก ลุ้นราคาวิ่งทะลุ 7 บ. จากราคา IPO ที่ 5.55 บ. เดินหน้าขยายกำลังผลิต เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง โบรกฟันกำไร 3 ปี (ปี 65-67) โตเฉลี่ย 14%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 พ.ย.65) บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก ที่เก็บรักษาได้นานโดยไม่ต้องแช่เย็นหรือแช่เยือกแข็ง เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เป็นวันแรก

โดย AAI มีทุนชำระแล้วหลังการเสนอขาย IPO ที่ 2,125 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเสนอขาย 637.5 ล้านหุ้นประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมที่ถือโดยบริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN จำนวน 212.5 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 425 ล้านหุ้น โดยจัดสรรหุ้นสามัญเดิมและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 627.5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5.55 บาท แก่ประชาชนทั่วไป และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 5 บาท ให้แก่ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท ระหว่างวันที่ 17-26 ต.ค.65 ได้รับเงินจากการระดมทุนทั้งสิ้น 2,353.25 ล้านบาท จากมูลค่าเสนอขาย 3,532.63 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,793.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 16.98 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาส 3/64 ถึงไตรมาส 2/65 ซึ่งเท่ากับ 694.56 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขาย IPO คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น (fully diluted EPS) เท่ากับ 0.33 บาทต่อหุ้น โดยมีบริษัทบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ AAI เปิดเผยว่า บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานความปลอดภัยมามากกว่า 15 ปี โดยจุดแข็งของบริษัทคือความสามารถในการยกระดับงานวิจัย และมีกลยุทธ์ในการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) ร่วมกับลูกค้า ปัจจุบันบริษัทมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยความใส่ใจเพื่อส่งมอบสินค้าที่ดีที่สุด ซึ่งการนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัท และเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงิน ทั้งในแง่ของต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และความเชื่อมั่นของคู่ค้า สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำมาเพิ่มขีดความสามารถของบริษัท โดยใช้เป็นเงินลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 ชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

ทั้งนี้ AAI มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นในด้านการใช้เงินในการลงทุนหรือหมุนเวียน

โดยหลัง IPO บริษัทจะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ (1) ASIAN ถือหุ้น 70% (2) นายสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ถือหุ้น 3.07% และ (3) นายแพทย์รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา ถือหุ้น 1.04%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AAI เป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจชั้นนำของไทยในการรับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง โดยบริษัทมีแผนจะยกระดับจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) ให้กับลูกค้าซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ไปเป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partners) ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นโดยเป็นการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า ภายใต้การมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ รวมทั้งทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่ง

ขณะที่บริษัทจะขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง 95% ตลอดช่วง 4 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับกับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงตามกระแสความนิยมการเลี้ยงสัตว์เหมือนเป็นสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization) ประกอบกับได้ทำสัญญาซื้อขายระยะยาว 5 ปี กับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียงในระดับสากล รวมทั้งเน้นผลิตอาหารสัตว์แบบเปียกและทยอยเพิ่มรายได้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตนเองซึ่งมีอัตรากำไรสูง คาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิต่อปี (CAGR) ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 65-67) ที่ 14.3%

ทั้งนี้ประเมินว่า AAI สมควรจะมี PE พรีเมียมเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารใน SET ซึ่งผลประกอบการมีความผันผวนสูงตามการเปลี่ยนแปลงของราคาเนื้อสัตว์และสัตว์น้ำ ขณะที่ AAI มีศักยภาพเติบโตอย่างมีเสถียรภาพจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและมีการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตดี จึงประเมินมูลค่า AAI โดยดีสเคาน์จากบริษัทในต่างประเทศซึ่งประกอบธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีฐานลูกค้ากว้างกว่า ซึ่งมี PE ปี 66 เฉลี่ยที่ 21.4 เท่า โดยอิง PE ปี 66 ที่ 19-20 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 7.37-7.76 บาท

Back to top button