PTTEP แย้มปริมาณขาย Q4 โตต่อ ดันปีนี้เฉียด 5 แสนบาร์เรล/วัน
PTTEP คาดปริมาณขายเฉลี่ย Q4/65 โตต่อเนื่องจากการเร่งการผลิตของโครงการต่างๆ ในอ่าวไทย และเริ่มขายน้ำมันโครงการ HBR คาดทั้งปี 65 ปริมาณการขายเฉลี่ย จะอยู่ที่ 468,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
นางอรชร อุยยามะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ว่า บริษัทฯ คาดปริมาณการขายเฉลี่ยในไตรมาส 4/2565 จะปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2565 ที่ทำได้ 478,323 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากการเร่งการผลิตของโครงการต่างๆ ในอ่าวไทย เช่น โครงการบงกช โครงการอาทิตย์ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็จะมีการเริ่มขายน้ำมันของโครงการฮาสสิ เบอร์ราเคซ (HBR) ในประเทศแอลจีเรียด้วย
ส่วนทิศทางราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2565 แม้จะปรับตัวลง หลังจากสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นจากราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต่างปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง และส่งผลเชิงลบต่อเนื่องไปถึงอุปสงค์น้ำมันดิบ สภาวะโดยรวมของตลาด และราคาน้ำมันไปจนถึงสิ้นปี 2565
ขณะที่ทางประเทศกลุ่ม OPEC+ นำโดยซาอุดิอาระเบียได้ประกาศความพร้อมที่จะเข้ามามีบทบาทในการควบคุมเสถียรภาพของราคาน้ำมัน จึงมีโอกาสสูงที่ทางกลุ่ม OPEC+ จะยังคงปริมาณการผลิตในระดับ 39 ล้านบาร์เรลต่อวันไว้ต่อไป หรืออาจลดกำลังการผลิตลง 1 ถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวันหากจำเป็น ทำให้คาดการณ์ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2565 น่าจะมีอุปทานส่วนเกินเพียงเล็กน้อยและราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 90-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตามราคาก๊าซธรรมชาติเหลวยังคงปรับตัวสูงขึ้น จากการปรับราคาย้อนหลังของราคาก๊าซธรรมชาติ 6-12 เดือน และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อความผันผวนของราคา Asian Spot LNG ในไตรมาส 4 ประกอบกับความต้องการก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวในภูมิภาคยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้คาดว่าราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 6.3 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู
สำหรับปริมาณการขายเฉลี่ยทั้งปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 468,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เติบโตจากปี 2564 จากการเข้าเป็นผู้ดำเนินการและการเริ่มผลิตปิโตรเลียมของโครงการจี 1/61 (เอราวัณ) และการเริ่มผลิตน้ำมันของโครงการ แอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ราเคซ รวมถึงยังมีการรับรู้ยอดขายเต็มปีเป็นปีแรกของโครงการมาเลเซีย แปลงเอช และโครงการโอมาน แปลง 61
นอกจากนี้ต้นทุนต่อหน่วย คาดจะอยู่ที่ 29-30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ หรือ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา ต่อรายได้จากการขายรวมรายได้จากการบริการค่าผ่านท่อ (EBITDA Margin) จะอยู่ในช่วง 70-75% ตามที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ดีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2565 ของบริษัทฯ อยู่ที่ 2.41 หมื่นล้านบาท เติบโต 153.24% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ 9.54 พันล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 2565 อยู่ที่ 5.52 หมื่นล้านบาท เติบโต 95.94% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่อยู่ 2.82 หมื่นล้านบาท