ตามคาด ! สภาฯโหวตคว่ำ “พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า” แพ้เฉียดฉิวแค่ 2 คะแนน
สภาผู้แทนราษฎร มีมติโหวตคว่ำ “พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า” หลังคะแนนการลงมติสูสีต้องใช้วิธีการนับคะแนนถึง 2 ครั้ง ก่อนที่เสียงไม่เห็นด้วยจะชนะไปเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ (2 พ.ย. 65) ได้เริ่มเข้าสู่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ร.บ. สุราก้าวหน้า ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว มีทั้งหมด 7 มาตรา โดยเป็นการพิจารณาวาระ 2 เรียงตามมาตรา สำหรับมาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 153 พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 เพื่อไม่ให้เกิดการกีดกันการแข่งขันผ่านกำลังการผลิต กำลังแรงม้า ทุนจดทะเบียน และจำนวนพนักงาน
โดยนายวิรัช พันธุมะผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ได้อภิปรายว่า เท่าที่รับรู้การผลิตสุราที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งบางครั้งมีการจำหน่ายด้วย มีการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน และผลิตที่บ้าน ใช้กรวยสังกะสีเป็นสนิม บางครั้งชาวบ้านใส่กรัมม็อกโซนเพื่อเร่งเกิดการปฏิกิริยา และส่งกลิ่นเหม็นให้พื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง จึงไม่ติดใจในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ.2565 เพราะกฎหมายนี้ไม่ได้มีการควบคุมชาวบ้านไม่ให้ผลิตสุราเลย
ทำให้นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะ กมธ.ท้วงว่า เรื่องคุณภาพ และสิ่งแวดล้อมไม่ได้ระบุในร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้านี้ก็จริง แต่ก็มีกฎหมายฉบับอื่นควบคุมอยู่แล้ว โดยกฎหมายฉบับนี้คือการให้อำนาจไปแก้ไขกฎกระทรวงฯ ซึ่งมีการปลดล็อก แต่มีอีกล็อกขึ้นมา เช่น การเอากำลังการผลิตเบียร์ 10 ล้านลิตรออก และให้ไปทำ EIA หรือการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมแทน ทั้งที่จริงการทำ EIA อาจไม่สำคัญกับการทำโรงเบียร์ขนาดเล็กมาก ส่วนการทำสุราพิเศษ เช่น บรั่นดี และลิเคียว ซึ่งกฎกระทรวงก็ยังไม่มีการแก้ไขในส่วนนี้ กฎหมายฉบับนี้จึงไม่กำหนดกำลังแรงม้า และเครื่องจักร เพื่อให้เกิดการปลดล็อกการผลิตสุรา กฎหมายนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะออกโดยสภา จึงอยากให้ช่วยกันปลดล็อกโซ่ตรวนนี้ไปให้ได้
จากนั้นนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมาก อภิปรายว่า การแก้กฎกระทรวงเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมาทำอย่างเร่งด่วน มีการประกาศในราชกิจจาฯ ภายในวันเดียว ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในกระบวนการที่จะออกกฎกระทรวง หรือออกกฎหมายใดๆ แสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบ อาจจะเพื่อให้มีผลกระทบกับกระบวนการพิจารณาในสภาก็เป็นได้ ซึ่งศักดิ์สูงกว่ากฎกระทรวง เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของสภาว่าทิศทางการเปิดเสรีสุราเป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดการเสมอภาคกับประชาชนไม่ให้รายใหญ่ผูกขาดอีกต่อไป ถ้าเราหวังพึ่งว่ามีกฎกระทรวงมาแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันให้เกิดความมั่นใจได้เลยว่า ในอนาคตทิศทางของตลาดสุราจะเป็นไปอย่างไร ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภา แปลว่ากฎหมายที่เป็นแม่ของกฎกระทรวงไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้นเราต้องยืนยันด้วยกฎหมาย
ขณะที่นายชาดา ไทยเศรษฐ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ในฐานะที่เป็นมุสลิม อย่างไรเสียก็ต้องลงมติงดออกเสียงร่างกฎหมายฉบับนี้แน่นอน แต่เราไม่ควรนำกฎกระทรวงที่ออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นตัวชี้วัดว่าจะรับหรือไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่สิ่งที่กังวลคือ ปัญหาตัวเลขผู้เสียชีวิตช่วงเทศกาลต่างๆ ทั้งปีใหม่และสงกรานต์ คุณและโทษของสุรา รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชน และจำนวนรายได้ของรัฐจะลดหรือเพิ่มขึ้นอย่างไร
หลังจากเปิดให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางกว่า 3 ชั่วโมง ที่ประชุมได้ลงมติ จากจำนวนผู้ลงมติ 365 เสียง เห็นด้วย 173 เสียง ไม่เห็นด้วย 177 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 4 เสียง
อย่างไรก็ตาม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เสนอญัตติให้ขอให้นับคะแนนใหม่และลงมติใหม่ด้วยการขานชื่อ เนื่องจากคะแนนเสียงที่ลงมตินั้นมีการต่างกันไม่เกิน 25 เสียง ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ
ทั้งนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายคัดค้านการลงมติด้วยการขานชื่อเพราะจะเสียเวลาการประชุม และขอให้ยึดผลการลงคะแนนในวาระสามที่ผ่านพ้นไป แต่ถูก ส.ส.พรรคฝ่ายค้านคัดค้านข้อเสนอของนายอรรถกร และยืนยันให้ลงคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อตามที่ข้อบังคับการประชุมกำหนดไว้ ทำให้นายสุชาติ ขอให้สภาฯ เดินหน้านับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ
ล่าสุดที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เห็นด้วย 194 เสียง ไม่เห็นด้วย 196 เสียง งดออกเสียง ทำให้ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าเป็นอันตกไป