ลุ้น NER กำไรปีนี้เฉียด 2 พันล้าน โบรกเชียร์ซื้อ เป้าสูง 9 บ.
NER คว้า CGR 5 ดาว ประจำปี 2565 ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ฟากโบรกเกอร์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าสูงสุด 9 บาท จากการฟื้นตัวหลังการส่งออกยางเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงลูกค้าใหม่จากอินเดียเพิ่มเข้ามา
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการ ประจำปี 2565 (Corporate Governance Report of Thai Listed Companies 2022 : CGR) ระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) ประจำปี 2565 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ด้วยการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ NER เป็น 1 ใน 750 บริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมการประเมิน สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีพัฒนาการด้านกำกับดูแลกิจการที่ดีอย่างต่อเนื่อง และยังคงมุ่งมั่นดำเนินกิจการ เพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม (ESG) และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสีย นักลงทุน และนักลงทุนสถาบัน ด้วยผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับ CG Rating 5 ดาวที่บริษัทได้รับ เป็นการปรับระดับจาก 3 ดาวจากปี 2563 เป็น 5 ดาวในปี 2564 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นผู้ผลิตยางพารา คุณภาพดีระดับโลก ซื่อสัตย์ ยุติธรรมต่อคู่ค้า ใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม พัฒนาธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำ และความมุ่งมั่นตั้งใจของคณะกรรมการบริษัทและคณะผู้บริหารในการพัฒนาธรรมภิบาลและยกระดับการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) มาอย่างต่อเนื่อง คำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีความมั่นใจในการดำเนินงานและเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส มีจริยธรรม และตรวจสอบได้ของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินต่อ NER ว่า ประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 1,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 2,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากสมมติฐาน (1) ปริมาณขายยางพาราอยู่ที่ 460,000 ตัน และ 500,000 ตัน (2) คงราคาขายยางเฉลี่ยอยู่ที่ 55 บาทต่อกก. และ (3) คงประมาณการ gross margin ปี 2565/2566 อยู่ที่ 12.6% ด้านราคาหุ้น underperform SET ลดลง 7% ใน 3 เดือน และลดลง 9% ใน 6 เดือน จากราคายางที่ปรับตัวลง จากความกังวลอุปสงค์การใช้ยางที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม valuation ปัจจุบันน่าสนใจโดยเทรดที่ปี 2565 ค่า PER ที่ 5.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 6.3 เท่า และมี dividend yield ถึง 7.6% ดังนั้นคาดกำไรจะกลับมาโตขึ้น 14% ปี 2566 จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น, ราคายางที่ฟื้นตัว และธุรกิจแผ่นปูนอนวัว
อย่างไรก็ตามคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER 8.0 เท่า โดยมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทยังเติบโต จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และยังได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของผู้ผลิตล้อยางและผู้ผลิตรถยนต์ที่มาประเทศไทยมากขึ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินต่อ NER ว่ายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 8.90 บาท อิงค่า PER ที่ 8 เท่าในปี 2566 ด้วยปัจจัยบวกจากผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่กลับมาฟื้นตัวหลังการส่งออกยางเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงมีลูกค้าใหม่จากอินเดียเพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะแนวโน้มช่วงไตรมาส 4/2565 ในแง่ปริมาณขายคาดว่าจะเห็นการปรับตัวเพิ่มจากไตรมาส 3/2565 ได้ต่อเนื่อง ขณะที่ในแง่ราคาขายยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดลงตามปริมาณของราคายางในปัจจุบัน
นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นยังมีโอกาสได้รับเงินปันผลสำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2565 อีกกว่า 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราตอบแทนเงินปันผลถึง 5%