WHAIR รุกลงทุนเพิ่มดันพอร์ตแตะ 1.3 หมื่นล้าน ชูยีลด์สูงเกือบ 9%
กองทรัสต์ WHAIR เดินเกมรุกลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 4 มูลค่ารวมไม่เกิน 1,345.89 ล้านบาท มีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 428,818 ตารางเมตร ดันมูลค่าทรัพย์สินรวมแตะ 13,000 ล้านบาท ชูความโดดเด่นของศักยภาพทรัพย์สินที่ตั้งในพื้นที่ EEC กว่า 90 % ที่ให้ประมาณการอัตราผลตอบแทน 8.67%
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ทรัพย์สินของกองทรัสต์ WHAIR ทั้งหมดตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรมที่พัฒนา โดย WHA Group ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมพร้อมโซลูชั่นครบวงจรด้านสาธารณูปโภคและพลังงานในประเทศไทย
ทั้งนี้ โรงงานสำเร็จรูป (Ready Built Factory) และคลังสินค้าสำเร็จรูป(Ready Built Warehouse) ให้เช่ากว่า 90 % ของกองทรัสต์ WHAIR ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งในพื้นที่จังหวัดระยอง และชลบุรี ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนของประเทศไทย เนื่องจาก EEC เป็นเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนและมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศครอบคลุมอุตสาหกรรม new S curve ที่จะเป็นอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศไทย
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า เขต EEC เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพการลงทุนสูง ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการลงทุนในเขตพื้นที่ดังกล่าว ที่คาดว่าระหว่างปี 2566 – 2570 พื้นที่ EEC จะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ 7-9% ซึ่งมาจากการขยายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ, อุตสาหกรรมการขนส่งโลจิสติกส์
WHA Group ในฐานะผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมอันดับ 1 มีพื้นที่รวม 68,400 ไร่ และมีพื้นที่รอการพัฒนา 4,250 ไร่ และมีทรัพย์สินประเภทโรงงานและคลังสินค้า ที่สร้างเสร็จแล้วและอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทย่อย WHAID จำนวนทั้งสิ้น 285 โรงงาน พื้นที่รวมทั้งสิ้น 529,700 ตารางเมตร และมีคลังสินค้าที่สร้างเสร็จแล้ว และอยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทย่อย WHAID จำนวนทั้งสิ้น 43 คลังสินค้า บนพื้นที่รวมทั้งสิ้น 197,000 ตารางเมตร
ดังนั้น จากทรัพย์สินที่ WHAID ขายเข้ากองทรัสต์ WHAIR ครั้งที่ 4 จึงมีความโดดเด่นด้านทำเลที่มีศักยภาพสูงที่สามารถดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทำเลที่ตั้งของทรัพย์สินเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านการลงทุน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวว่า ทำให้เชื่อมั่นว่า กองทรัสต์ WHAIR เป็นโอกาสสำหรับทางเลือกของการลงทุนในโซน EEC ที่ดีที่มุ่งสร้างผลตอบแทนอย่างมั่นคงให้กับนักลงทุน
นางสาวจารุชา สติมานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (“กองทรัสต์ WHAIR”) กล่าวว่า สำหรับการลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ เป็นการลงทุนในสิทธิการเช่าในอาคารโรงงานสำเร็จรูป (Ready Built Factory ) และ คลังสินค้าสำเร็จรูป (Ready Built Warehouse ) ระยะเวลา 30 ปี และสิทธิในการต่ออายุสัญญาเช่าทรัพย์สินอีก 30 ปี จำนวนทั้งหมด 14 หลัง จาก 7 โครงการ พื้นที่รวม 48,186 ตารางเมตร รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,345.89 ล้านบาท โดยเป็นทรัพย์สินจาก 3 บริษัท ภายใต้กลุ่มของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของประเทศไทย ได้แก่
1.) บริษัท ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด อินดัสเตรียลเอสเตท จำกัด เป็นอาคารโรงงานสำเร็จรูป จำนวน 1 หลัง และคลังสินค้าสำเร็จรูป จำนวน 3 หลัง ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 (WHA ESIE 1) และโครงการดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์พาร์ค 2 (WHA LP 2)
2.) บริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล บิวดิ้ง จำกัด เป็นอาคารโรงงานสำเร็จรูป จำนวน 3 หลัง และคลังสินค้าสำเร็จรูป จำนวน 4 หลัง ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรม อีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) (ESIE), โครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี 1 (WHA CIE 1), โครงการนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ (KABIN), โครงการดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์พาร์ค 1 (WHA LP 1) และโครงการดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์พาร์ค 4 (WHA LP 4) และ
3.) บริษัท อีสเทิร์น ซีบอร์ด อินดัสเตรียล เอสเตท (ระยอง) จำกัด เป็นอาคารโรงงานสำเร็จรูป จำนวน 3 หลัง ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) (ESIE)
โดยภายหลังจากการลงทุนเพิ่มเติมจะส่งผลให้ กองทรัสต์ WHAIR มีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 428,818 ตารางเมตร และมีมูลค่าทรัพย์สินรวม กว่า 13,000 ล้านบาท และเพื่อเป็นการการันตีการลงทุน ในกองทรัสต์ WHAIR
ขณะที่ล่าสุด กองทรัสต์คว้ารางวัล “Outstanding REIT Performance” ภายในงาน SET Awards 2022 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทรัสต์ WHAIR ที่มีความโดดเด่น และยั่งยืนเหนือสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ดังนั้นจึงเป็นการตอกย้ำว่า กองทรัสต์ WHAIR เหมาะกับการเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนดี และมีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคตกับธีม EEC
ด้านนายสาวิตร ศรีศรันยพงศ์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ WHAIR กล่าวว่า การลงทุนเพิ่มเติมของกองทรัสต์ WHAIR ในครั้งนี้มีความโดดเด่นในด้านของทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง) และนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ (จังหวัดปราจีนบุรี) ซึ่งถือเป็นทำเลบนจุดยุทธ์ศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการดำเนินธุรกิจโรงงานให้เช่าและคลังสินค้าให้เช่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณอีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นจุดเชื่อมโยงฐานการผลิตและการขนส่งสินค้าทั้งทางบก (ทางด่วนสายบางนา-ชลบุรี มอเตอร์เวย์ และถนนพหลโยธิน) ทางอากาศ (สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติดอนเมือง และสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา) และทางน้ำ (ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือกรุงเทพ) ในขณะที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค กบินทร์ อยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรมของจังหวัดปราจีนบุรี และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่ใกล้กรุงเทพมหานคร รวมถึงความสะดวกในการเดินทางไปยังท่าเรือแหลมฉบัง สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นประตูสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อสู่พื้นที่การลงทุนใหม่ ๆ ของภูมิภาคอินโดจีน โดยทั้งสองทำเลมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี
“จากผลประกอบการที่ผ่านมา ทางกองทรัสต์ WHAIR สามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 90 แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้ จะมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทรัสต์ WHAIR เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ประมาณการการจ่ายประโยชน์ตอบแทนภายหลังการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในครั้งนี้เท่ากับ 0.64 บาทต่อหน่วยอ้างอิงจากงบกำไรขาดทุนและการจ่ายประโยชน์ตอบแทนตามสถานการณ์สมมติ สำหรับปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 สอบทานโดยผู้สอบบัญชี หรือคิดเป็นประมาณการอัตราผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงถึง 8.67% (คำนวณจากราคาปิดถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ที่ 7.38 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนขึ้นอยู่กับราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติม)” นายสาวิตร กล่าว