IRPC เจอพิษสต๊อกน้ำมัน ฉุดไตรมาส 3 พลิกขาดทุน 2.5 พันลบ. โบรกชี้ Q4 มาร์จิ้นปิโตรฯฟื้น
IRPC ไตรมาส 3/65 พลิกขาดทุน 2.5 พันล้านบาท เจอขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 4.02 พันล้านบาท โบรกย้ำมาร์จิ้นปิโตรเคมีไตรมาส 4/65 ฟื้น รับหลายประเทศมีการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แนะซื้อเก็งกำไรราคาเป้าหมาย 4 บาท
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/65 และงวด 9 เดือนแรกของปี 65 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 บริษัทฯมีรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 25,224 ล้านบาท หรือร้อยละ 41 โดยมีสาเหตุจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และปริมาณขายลดลงร้อยละ 3 โดยโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 189,000 บาร์เรลต่อวัน ลดลงร้อยละ 1 Market GIM ลดลง 2,731 ล้านบาท หรือร้อยละ 38 โดยมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลง บริษัทฯขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 4,020 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 ที่มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ 2,328 ล้านบาท ส่งผลให้ Accounting GIM ลดลง 9,079 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ95 ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง 205 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 6 ส่งผลให้มีผลขาดทุน EBITDA จำนวน 2,798 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/64 ที่มี EBITDA จำนวน 6,190 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคาลดลง 116 ล้านบาท และขาดทุนจากการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงินลดลง 144 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 64 ขณะที่ต้นทุนทางการเงินสุทธิเพิ่มขึ้น 67 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ16 ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าไตรมาส 3/64 และมีกำไรจากการลงทุนลดลง 94 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ บันทึกกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 2,426 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64 ที่บันทึกขาดทุนจากกรบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 685 ล้านบาท และบันทึกเครดิตภาษีเงินได้ 655 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/64 ที่บันทึกภาษีเงินได้ 460 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/65 ขาดทุนสุทธิ2,549 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/64 ที่มีกำไรสุทธิ 2,155 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มสถานการณ์ตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 4/65 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะฟื้นตัวขึ้น ตามสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้นจากการคลาย Lockdown ในหลายพื้นที่กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการเข้าสู่ช่วง Traditional Peak ของธุรกิจปิโตรเคมีจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายทางในช่วงงานเทศกาลปลายปี รวมทั้งความต้องการจากกลุ่มธุรกิจ New S-Curve เช่น EV Car,Charging station ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการในกลุ่ม Robotics ที่ในปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้ทดแทนแรงงานคนมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์โตรเคมีเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้กำลังการผลิตใหม่ที่เดิมคาดว่าจะเพิ่มเข้ามาในปีนี้อาจจะมีการเลื่อนออกไป (Delay) จากปัญหากลไกทางเศรษฐกิจประกอบกับหลายโรงงานมีการประกาศลดอัตรากำลังการผลิต โดยเฉพาะในประเทศจีน เนื่องจากกำไรจากการผลิตอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งผู้ผลิตหลายรายมีการประกาศปิดซ่อมบำรุง (Turnaround) ให้เร็วขึ้นจากเดิมที่จะมีการหยุดTurnaround ในช่วงไตรมาสแรก เป็นปัจจัยที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลต่อสถานการณ์ Over Supply ได้
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ระบุว่า ราคาหุ้น IRPC ในปี 65 ปรับลดลงกว่า 20% ทำให้ยังคงแนะนำ “เก็งกำไร” ด้วยราคาเป้าหมาย 4 บาทต่อหุ้น หลังจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของมาร์จิ้นในไตรมาส 4/65 และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ Spread Margin ในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี โดยเฉพาะส่วนต่างราคา HDPE ปรับเพิ่ม 7.7%, PP ปรับเพิ่มขึ้น 1.7%, ABS ปรับเพิ่มขึ้น 7.4% และ MX ปรับเพิ่มขึ้น16.4% เมื่อเทียบจากไตรมาส 3/65 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลดกำลังผลิตของโรงงานในภูมิภาค หลังมาร์จิ้นอ่อนแอ รวมไปถึงการทยอยประกาศเลื่อนการเริ่มกำลังผลิตของโรงงานใหม่ในภูมิภาค เป็นปัจจัยหนุนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ในระยะสั้น
ทั้งนี้คาดว่าปี 65 บริษัทจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 3.11 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.6 พันล้านบาท เทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวม 2.5 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท