TOP โชว์กำไร 9 เดือนแรก โต 3 เท่า แตะ 3.3 หมื่นล. แย้ม Q4 ค่าการกลั่นฟื้น

TOP โชว์กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกปี 65 โต 331% แตะ 32,521 ล้านบาท จากปีก่อน 7,545 ล้านบาท รับรายได้ขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและกำไรสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น คาดไตรมาส 4/65 ภาพรวมธุรกิจการกลั่นมีแนวโน้มดีขึ้น หลังโควิดคลี่คลายลง


บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/65 และงวด 9 เดือนปี 65 ดังนี้

นายนพดล ปิ่นสุภา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไทยออยล์บริหารจัดการการดำเนินงานธุรกิจให้สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยปรับดีขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย และการเดินทางทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น  แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มชะลอตัวจากภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2565 ไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 124,174 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 8.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,238 ล้านบาท และมี EBITDA ติดลบ 568 ล้านบาท เมื่อรวมกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินอยู่ที่ 5,090 ล้านบาท และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ (FX) 1,710 ล้านบาท หลังหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ทำให้ในไตรมาส 3/2565 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท

อีกทั้ง จากสถานการณ์ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในช่วงเวลานี้ ไทยออยล์ได้มีการบริหารป้องกันความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันดิบและด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนจากสถาณการณ์ดังกล่าว

ขณะที่การดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 32,521.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 331% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7,545.35 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการขาย 382,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151,041 ล้านบาท สาเหตุจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ

นอกจากนี้ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 12,791 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 437 ล้านบาท อย่างไรก็ตามกลุ่มไทยออยล์มีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 2,114 ล้านบาท ปรับลดเพิ่มขึ้น 1,872 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เมื่อรวมผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ 16,210 ล้านบาท ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 34,789 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 12,729 ล้านบาท

“หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกคลี่คลายลง ทำให้เกิดการผ่อนคลายการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ประกอบกับความต้องการใช้เชื้อเพลิงสำหรับทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจการกลั่นช่วงไตรมาส 4/2565 มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก” นายนพดล กล่าว

ทั้งนี้ หลังประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยออยล์สามารถระดมเงินทุนได้ถึง 10,368 ล้านบาท ซึ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน

ดังนั้น ไทยออยล์จึงเร่งเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจตามแผนการลงทุนที่วางไว้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ได้แก่ การลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ซึ่งมีความคืบหน้ากว่า 87% และ การลงทุนในธุรกิจโอเลฟินที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และ แสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต เพื่อลดความผันผวนจากอุตสาหกรรมพลังงาน และนำไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน

Back to top button