WFX โกยกำไร 9 เดือนทะลุ 189 ล้าน โค้งท้ายลุยเจาะตลาดใหม่-เร่งอัพกำลังผลิตเฟสสอง
WFX โกยกำไร 9 เดือนแรกทะลุ 189 ล้าน โค้งท้ายลุยเจาะตลาด End Users “แอฟริกา-อเมริกาใต้” พร้อมเร่งอัพกำลังผลิตเฟสสอง รองรับออเดอร์ทะลักถึงต้นปี 66 มั่นใจผลงานปีนี้โต 10-15% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
นายณัฐ วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ WFX เปิดเผยว่าภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 189.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.64% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 188.24 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 2,819.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 2,583.52 ล้านบาท ขณะที่งวดไตรมาส 3/2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 681.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.29 ล้านบาท
ปัจจัยหลักที่สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น มาจากการขยายกำลังการผลิตในเฟสแรกที่เสร็จสมบูรณ์ตามแผน มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณการจำหน่ายสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ สามารถผลิตและจำหน่ายเส้นด้ายยางยืดที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านขนาดและคุณภาพที่แตกต่างกันไป อีกทั้งบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้แก่กลุ่มลูกค้าประเภท End user เพิ่มขึ้นตามลำดับ
“ภาพรวมผลประกอบการรวม 9 เดือนของปีนี้ บริษัทฯ ยังสามารถทำผลงานได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลประกาศนโยบายเปิดประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมสิ่งทอเริ่มฟื้นตัว จากความต้องการยางยืดสำหรับสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ที่มากขึ้น รวมทั้งอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่กลับมาฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการสินค้าที่หลากหลายตอบรับกับแผนขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของเส้นด้ายยางยืดเคลือบแป้ง และเคลือบซิลิโคน ผลักดันยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว”
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เดินหน้าตามแผนบุกตลาดกลุ่มใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากประเทศจีน เช่น ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย บังคลาเทศ, ประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ รัสเซีย ตุรเคีย อุซเบกิสถาน, ประเทศในแถบอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู และยังมีแผนที่จะเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศแอฟริกา ได้แก่ อียิปต์ โมรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
เขากล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 คาดว่าจะเป็นช่วงที่บริษัทฯ จะกลับมาผลิตสินค้าได้ประสิทธิภาพการผลิต (Efficiency) ในระดับปกติ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลาย โดยมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโต 10-15% จากปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นโดยในเฟสแรกที่เสร็จสมบูรณ์เป็นไปตามแผน ขณะที่เฟสที่สองจะเร่งให้แล้วเสร็จภายในปี 66 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทั้ง 2 เฟส รวมอยู่ที่ประมาณ 20-30% จากปัจจุบันอยู่ 36,000 ตันต่อปี เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาล่วงหน้าเป็นจำนวนมาก