KEX รายได้ลด-ค่าใช้จ่ายพุ่ง ฉุด Q3 พลิกขาดทุน 675 ลบ.
KEX งบไตรมาส 3/65 พลิกขาดทุน 675 ลบ. จากปีก่อนขาดทุน 12.84 ลบ. หลังรายได้ขายและบริการลด-ค่าใช้จ่ายขายและบริหารพุ่ง ส่วนงวด 9 เดือนพลิกขาดทุน 1.90 พันลบ. จากปีก่อนกำไร 651.26 ลบ.
บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/65 และงวด 9 เดือนปี 65 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.65 ดังนี้
โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการทั้งสิ้น 4,218.6 ล้านบาท ลดลง 1.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 20.9% เมื่อเทียบจากไตรมาส 3/64 เนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องซึ่งเกิดจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและความเชื่อมั่นของตลาดที่หดตัวลง
อย่างไรก็ตามปริมาณการจัดส่งพัสดุในไตรมาส 3 ยังคงขยายตัวที่ 5% เมื่อเทียบกับฐานปริมาณพัสดุที่สูงมากในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องมาจากกลยุทธ์ Aggressive Pricing โดยสัดส่วนรายได้ของทุกกลุ่มไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญถึงแม้ว่ากลุ่มลูกค้า B2C จะได้มีการลดการนำเสนอโปรโมชั่นและการส่งเสริมการขายในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม
ขณะที่ต้นทุนขายและการให้บริการรวม 4,665.9 ล้านบาท ลดลง 6.3% จากไตรมาส 3/2564 และ ลดลง 2.5% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องมาจากมาตรการการลดตันทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ การดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งพัสดุ Last Mile รวมถึงการลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการปฏิบัติงานระหว่างศูนย์ดัดแยกและศูนย์กระจายพัสดุ ทำให้บริษัทฯสามารถบริหารสัดส่วนของทรัพยากรภายในและการจ้างงานแบบ outsource ได้สมดุลในแง่ของค่าใช้จ่ายและประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังนำแนวทางการจ้างงานที่เน้นผลการปฏิบัติงานของพนักงานมาปรับใช้อย่างเข้มข้นและรัดกุมเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งทรัพยากรบุคคลที่มีผลงานดีเยี่ยมและชี้ให้เห็นถึงบุคลากรผู้ที่มีส่วนร่วมน้อย จากการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานภายใน (Industrialisation of KEX) และการยกระดับแพลตฟอร์มการจัดส่งพัสดุมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ มีการบริหารจัดการตันทุนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 3/2565 ถึงแม้ว่าผลของการควบคุมต้นทุนอาจใช้เวลาสักระยะ บริษัทฯ ได้เล็งเห็นผลการพัฒนาในเชิงบวกและคาดว่าผลกระทบของการลดต้นทุนจะเห็นชัดเจนขึ้นและดำเนินไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 1.5% เนื่องมาจากมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เข้มงวดมากขึ้น และเพิ่มขึ้น 24.9%จากไตรมาส 3/2564 อันเนื่องมาจากการเสริมสมรรถะหลักและการขยายตัวสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ตั้งแต่ตันปีที่ผ่านมาที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ความเป็นผู้นำและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทฯ