รู้ก่อนเทรด 12 หุ้น IPO จ่อลงสนามสิ้นปีนี้
ทำความรู้จัก 12 หุ้นไอพีโอ POLY, ITC, DTCENT, SGC, ACOM, DEE, KJL, SCGC, WARRIX, PRI, SAF, UBA เตรียมลงสนามเทรดภายในสิ้นปีนี้
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนน้องใหม่ที่เตรียมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) โดยพบว่าภายในสิ้นปีนี้มีจำนวน 12 บริษัทที่พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่
1.บริษัท โพลีเน็ต จำกัด มหาชน หรือ POLY ดำเนินผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ ยาง พลาสติก ซิลิโคน และแม่พิมพ์สำหรับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ในหมวดธุรกิจยานยนต์ (AUTO) วันที่ 16 พ.ย. 65
ทั้งนี้ POLY จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 6.80 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
โดยผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปี 62 บริษัทฯ มีรายได้รวม 581.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 13.1 ล้านบาท, ปี 63 มีรายได้ 523.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 21.8 ล้านบาท ส่วนปี 64 มีรายได้ 787.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 120.9 ล้านบาท เนื่องจากการขยายธุรกิจเข้าสู่กลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และปรับกลยุทธ์ในด้านกำลังการผลิตใหม่
2.บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม
โดย ITC จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น ประกอบด้วย การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยไทยยูเนี่ยนจำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ITC สามารถสร้างการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15% จาก 1.09 หมื่นล้านบาทในปี 62 เป็น 1.45 หมื่นล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกที่อยู่ที่ 5.8%* ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 59-64) โดยมีผลกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจาก 1.69 พันล้านบาท ในปี 62 เป็น 2.72 พันล้านบาท ในปี 64 หรือเฉลี่ยปีละ 27%
3.บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ ผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการเช่าอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) รวมถึงระบบเทเลเมติกส์สำหรับยานพาหนะและซอฟต์แวร์สำหรับบริหารงานขนส่งอย่างครบวงจร นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาโครงการไอโอทีโซลูชั่น (IoT Solution) ที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าทั้งในภาครัฐบาล และในภาคเอกชน โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
ทั้งนี้ DTCENT จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกินจำนวน 305 ล้านหุ้น โดยเป็นการเพิ่มทุนจาก 900 ล้านหุ้น เป็น 1,205 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 62 บริษัทมีรายได้ 810.94 ล้านบาท, ปี 63 รายได้ 639.38 ล้านบาท, ปี 64 รายได้ 591.53 ล้านบาท ส่วนงวด 3 เดือน ปี 65 มีรายได้ 156.23 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากรายได้จากการให้บริการใช้ระบบติดตามยานพาหนะ ส่วนของกำไรสุทธิในปี 62 อยู่ที่ 166.49 ล้านบาท, ปี 63 อยู่ที่ 109.12 ล้านบาท, ปี 64 อยู่ที่ 77.24 ล้านบาท และงวด 3 เดือนปี 65 มีกำไร 13.18 ล้านบาท
4.บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีหลักประกัน สำหรับผลิตภัณฑ์ของ SGC ประกอบด้วย (1) สินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (รถบรรทุก รถยนต์นั่ง ส่วนบุคคล รถยนต์เพื่อการพาณิชย์) ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน”, (2) สินเชื่อเช่าซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ในครัวเรือน (Home Appliances) เครื่องใช้ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (Commercial Appliances) และ เครื่องจักร (Captive Finance), (3) สินเชื่อสวัสดิการพนักงาน (Debt Consolidation) และ (4) สินเชื่อผ่อนทอง (Click2Gold) โดยจะเข้าทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจ เงินทุนและหลักทรัพย์
โดย SGC จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 820 ล้านหุ้น ประกอบด้วย การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 574 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 70% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ SINGER ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยให้ Pre-emptive Right ในอัตราส่วน 1.4326 หุ้นสามัญของบริษัทต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SGC ในราคาเสนอขายเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SGC ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งมีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานของ SGC ในงวด 6 เดือนแรกของปี 65 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,030.68 ล้านบาท เติบโต 18.36% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ประกอบด้วย รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อรถทำเงิน 46.57% และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร สัดส่วน 50.42% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 306.91 ล้านบาท ขณะที่ปี 64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,781.82 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 593.03 ล้านบาท ตามลำดับ
5.บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACOM ดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปครบวงจร (end-to-end ecommerce) โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มเทคโนโลยี หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
โดย ACOM จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และ (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น มีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขายสินค้าที่บริหารจัดการแบบครบวงจรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 52% จากปี 62-64 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายเดิมและการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายใหม่ โดยหากพิจารณายอดขายของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายเดิมที่เริ่มใช้บริการกับบริษัทฯ ในปี 59-62 พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ระหว่าง 35% ถึง 184%
6.บริษัท ดีสโตน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DEE ประกอบธุรกิจ ผลิต จัดจำหน่าย และส่งออกยางล้อสำหรับยานพาหนะประเภทต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง ยางรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยางรถบรรทุกและรถโดยสาร ยางสำหรับรถและเครื่องจักรที่ใช้ในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม และยางรถจักรยานยนต์และจักรยาน โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจยานยนต์
โดย DEE จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 842 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 28% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO แบ่งเป็น (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 301,000,000 หุ้น, (2) หุ้นสามัญเดิม เสนอขายโดย Fitzroy Capital Group Limited จำนวนไม่เกิน 270,500,000 หุ้น, (3) หุ้นสามัญเดิม เสนอขายโดย Stanhurst Power Limited จำนวนไม่เกิน 270,500,000 หุ้น ทั้งนี้อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment) จำนวนไม่เกิน 126,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทมีกำไร 1.75 พันล้านบาท, ปี 63 มีกำไร 2.98 พันล้านบาท และปี 64 มีกำไร 1.37 พันล้านบาท
7.บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด มหาชน หรือ KJL ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายตู้ไฟ รางไฟ และระบบไฟฟ้าแบบครบวงจร โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดสินค้าอุตสาหกรรม ภายในเดือนพ.ย. 65
โดย KJL จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 30 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 13.50 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งมีบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานปี 62 มีรายได้รวม 753.67 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 19.49 ล้านบาท, ปี 63 มีรายได้ 708.18 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 90.97 ล้านบาท ส่วนปี 64 มีรายได้ 845.78 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 94.04 ล้านบาท
8.บริษัท ยูทิลิตี้ บิสิเนส อัลลายแอนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ UBA ดำเนินธุรกิจในการให้บริการจัดการเดินระบบและบำรุงรักษาแบบครบวงจร พร้อมทั้งมีการบริการให้คำปรึกษา ออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสนับสนุนธุรกิจบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มบริการ
ทั้งนี้ UBA จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 170 ล้านหุ้น หุ้น คิดเป็น 28.33% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทมีกำไร 18.30 ล้านบาท, ปี 63 มีกำไร 43.43 ล้านบาท, ปี 64 กำไร 52.35 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 65 มีกำไร 30.83 ล้านบาท
9.บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์ และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
โดย SCGC จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 3,854,685,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทมีกำไร 1.59 หมื่นล้านบาท, ปี 63 กำไร 1.99 หมื่นล้านบาท และปี 64 มีกำไร 3.28 หมื่นล้านบาท
10.บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) หรือ WARRIX ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาชั้นนำของประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “วอริกซ์” (WARRIX) สินค้าและผลิตภัณฑ์ของวอริกซ์ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) สินค้า Licensed Product และ (2) สินค้า Non – Licensed Product ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
โดย WARRIX จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 180 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ทั้งนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป ประเทศไทย จำกัด มหาชน เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 65 บริษัทฯ มีรายได้รวม 398.80 ล้านบาท เติบโต 30.87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 304.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 24.85 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.23%
11.บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ แก่กลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มลูกค้าที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
โดย PRI จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวนไม่เกิน 80,000,000 หุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ มีบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทมีกำไร 35.20 ล้านบาท, ปี 63 กำไร 40.05 ล้านบาท และปี 64 มีกำไร 111.25 ล้านบาท
12.บริษัท เอส.เอ.เอฟ. สเปเชียล สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ SAF ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายและแปรรูปเหล็กกล้าเกรดพิเศษเพื่องานอุตสาหกรรมต่างๆ และเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องในส่วนการเลื่อยเหล็กกล้า รวมถึงให้บริการชุบแข็งด้วยระบบสุญญากาศ โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ SAF จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 80,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 26.67% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทมีกำไร 9.05 ล้านบาท, ปี 63 กำไร 2.45 ล้านบาท และปี 64 มีกำไร 15.53 ล้านบาท