ตลาดน้ำชาฟื้น! ICHI มั่นใจปีนี้รายได้ 6.5 พันล้าน ตั้งเป้าปีหน้าโต 15%
“ตัน ภาสกรนที” มั่นใจรายได้ทั้งปีโตต่อเนื่องแตะ 6,500 ล้านบาท หลังตลาดชาพร้อมดื่มฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น พร้อมส่ง “โคเรียนโซดา” เอาใจสาย K-POP ดันรายได้ปลายปี คาดปี 66 โตกว่า 15%
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปี 2565 ไว้ที่ 6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 24% จากปีก่อน โดยในช่วงไตรมาส 4/2565 คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ ตามภาพรวมตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศที่จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลให้ประชาชนออกมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น และยังมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางเข้าเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันบริษัทยังได้มีการรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้กับแบรนด์อื่นๆเพิ่มเติมอีก 3 ราย ในช่วงไตรมาส 4/2565
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/2565 บริษัทมีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นไปในกลุ่มสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ โดยได้เปิดตัวสินค้าใหม่ชื่อ อิชิตัน คาเทชิน ไปเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา และ เตรียมที่จะเปิดตัวอิชิตัน น้ำด่าง ที่มีส่วนผสมของสาร CBD , ชิซึโอกะ เก็นไมฉะ ที่ผสมผงมัทฉะ ในเดือนธันวาคมนี้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสินค้าที่เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้า โดยได้เปิดตัวเครื่องดื่มโคเรียนโซดา tansansu (ตันซันซู) ไปเมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ออกมาเจาะกลุ่ม Gen Z ที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ และหลงใหลในวัฒนธรรม KPOP ซึ่งได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยตั้งเป้ามุ่งสู่ยอดขาย 150 ล้านบาทในปีนี้
นายตัน ยังระบุว่า บริษัทยังมีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีศักยภาพขึ้นด้วยการปรับสูตรของผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้ลดน้ำตาลลง เพื่อที่จะลดภาษีน้ำตาลที่เตรียมจะเรียกเก็บในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทได้ใช้กำลังการผลิตอยู่ราว 66% ซึ่งสูงกว่าช่วงที่ผ่านมาถึง 59% จากกำลังการผลิตรวม 1,500 ล้านขวด/ปี และ 200 ล้านกล่อง/ปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ทิศทางอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2565
สำหรับทิศทางรายได้ในปี 2566 คาดว่าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% โดยจะได้รับปัจจัยหนุนการเติบโตของตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนักท่องเที่ยวเดินที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียที่คาดว่าจะมีการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ขณะเดียวกันบริษัทยังเน้นการขยายงานด้าน OEM เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าหลายราย ทั้งที่อยู่ในตลาดสินค้าชนิดเดียวกัน และ ตลาดอื่นๆ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ในปี 2566 ราว 150 ล้านบาท