LEO อวดกำไร Q3 โตกว่าเท่าตัว นิวไฮ 7 ไตรมาสติด จับมือ 2 พันธมิตร ลุยขนส่งสินค้าจีน-ไทย
LEO อวดกำไรไตรมาส 3/65 แตะ 107 ลบ. โต 106% นิวไฮ 7 ไตรมาสติด ล่าสุดประกาศจับมือ 2 พันธมิตร ลุยขนส่งสินค้าทางรถไฟ จีน-ลาว-ไทย คาดสิ้นปี 65 ปิดดีล JV-M&A เพิ่ม 3-4 ราย มั่นใจผลงานปี 66 โตก้าวกระโดด
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2565 และงวด 9 เดือนปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2565 ดังนี้
โดยนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 107.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 52.2 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,022.9 ล้านบาท ลดลง 6% จากงวดเดียวกันปีก่อน มีรายได้รวม 1,084.7 ล้านบาท อันเป็นผลจากอัตราค่าระวางเรือทั่วโลกมีการลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากบริษัทฯเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์อย่างครบวงจรแบบ End-to-End Global Logistics และมีรายได้อื่นๆ ในการให้บริการนอกเหนือจากค่าระวาง อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่ทางบริษัทได้รับจากค่าบริหารจัดการและการให้บริการที่ครบวงจรได้อยู่ในระดับที่ดี จึงทำให้บริษัทได้รับผลกระทบที่จำกัดจากการลดลงของค่าระวางในตลาดโลก
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 297.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 121.9 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 4,009.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,118.2 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/65 ทำสถิติกำไรสุทธิสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เป็นไตรมาสที่ 7 ได้รับปัจจัยหนุนจากจำนวนตู้สินค้าจากปริมาณการขนส่งทางเรือที่เพิ่มขึ้น โดยมีปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งทางเรือในไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 104 เมื่อเทียบกับปริมาณตู้สินค้าที่ขนส่งทางเรือในไตรมาส 2/2565 ในขณะที่รายได้จากการขนส่งสินค้าทางอากาศในไตรมาส 3/2565 ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 107 และในรอบระยะเวลา 9 เดือนก็สูงกว่าปีที่แล้วถึงร้อยละ 18 จากปัจจัยทั้งสอง และความสามารถในการบริหารจัดการเชิงกลยุทธิ์ที่มีการบริการและกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มีสายเดินเรือและสายการบินที่เป็นพันธมิตรเป็นจำนวนมาก และมี Overseas Network ที่อยู่ทั่วโลก ทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับอัตราการทำกำไรขั้นต้นและการทำไรสุทธิของบริษัทฯได้ในระดับที่ดี
ดังนั้นจึงทำให้บริษัทฯสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตได้ถึงแม้ค่าระวางจะลดลงทั่วโลก และทำให้อัตราการทำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 20% ขึ้นมาเป็น 23% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 7.5% ขึ้นมาเป็น 10.7% ในไตรมาส 3/2565 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2565 ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายเกตติวิทย์ กล่าว
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 บริษัทฯคาดว่าจะยังมีการเติบโตทางด้านปริมาณการขนส่งทั้งทางเรือ อากาศ และจะมีรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟเพิ่มขึ้นด้วย และมั่นใจว่าผลประกอบการของปี 2565 จะโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่บริษัทเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกหนึ่งปัจจัยบวกสำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 ก็เพราะบริษัทฯได้เริ่มรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นธุรกิจ Self Storage เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ลูกค้าในส่วนของ SME บริษัทออร์แกไนซอร์ และกลุ่มลูกค้าที่ซ่อมบ้าน เริ่มกลับมาใช้บริการมากขึ้น และยังมีลูกค้าที่นำเอาของใช้ส่วนตัวมาเก็บเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
อีกทั้งบริษัทฯ ได้เปิด LEO Self Storage # Chinatown แฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกของประเทศไทยใจกลางย่านเยาวราช ที่เป็นแหล่งการค้าและที่อยู่อาศัยที่สำคัญ และมีพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเริ่มมีการรับรู้รายได้จากสาขาที่ 2 เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับแนวโน้มในปี 2566 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะเป็นปีที่บริษัทฯจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากบริษัทฯจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ JV และ M&A ใหม่ๆที่เกิดขึ้นในปีนี้และปีหน้าอีกหลายโครงการ โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ Non-Freight และ Non Logistics ที่มีอัตรากำรขั้นต้นสูงถึง 30-50% เพื่อมาชดเชยกับอัดตาค่าระวางที่ลดลง เช่น การเข้าร่วมลงทุนกับ ADVANTIS FREIGHT (PVT) LIMITED ซึ่งเป็นบริษัทระดับ Regional Player ในภูมิภาค Asia เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ในการดำเนินธุรกิจ Logistics & Distribution Center
รวมทั้งการร่วมลงทุนกับ บริษัท เอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด (SK Asset Management Company Limited.) บริษัทในเครือ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เพื่อดำเนินโครงการ Self-Storage แห่งที่ 3 เพื่อให้บริการพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า และพัฒนาธุรกิจคลังสินค้าและให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร (Self-Storage, Warehouse & Integrated Logistics Services Project) ต่อยอดในการขยายธุรกิจ Self-Storage และ Warehouse ของบริษัทฯ
อีกทั้งยังจะจัดตั้งบริษัทใหม่ร่วมกับ บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT ในการดำเนินธุรกิจศูนย์ให้บริการโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics Center) และให้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร นอกจากนี้บริษัทยังมีการริเริ่มธุรกิจ Non-Logistics ด้วยการสนับสนุนโครงการเพาะพันธุ์ปลูกขายต้นกล้ากัญชา และพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาเพื่อการแพทย์กับทางวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัย เกษตรปลอดภัย ณ หุบป่าตาด อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งจะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนของโครงการและรายได้ในปี 2566 นอกจากนี้ในปี 2566 บริษัทฯก็จะเปิดดำเนินการ Self Storage แห่งที่ 4 และลานเก็บตู้ Container แห่งที่ 2 ภายในปี 2566 โดยบริษัทฯคาดว่าธุรกิจใหม่ๆทั้งหมดหล่านี้จะสามารถสร้างรายได้ให้กับทางบริษัทฯได้อย่างน้อยปีละ 200 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า
ล่าสุด LEO ได้จับมือกับ บริษัท เบาไทย อินเด็กซ์ แอสโซซิเอท จำกัด และ บริษัท ศรีตรังโลจิสติกส์ จำกัด เพื่อมาร่วมผลักดันและส่งเสริมการขนส่งสินค้าทางราง จากสาธารณรัฐประชาชนจีน (คุนหมิง) – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เวียงจันทน์) – ประเทศไทย โดยร่วมมือในครั้งนี้ บริษัทจะสามารถขยายการให้บริการการขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังประเทศจีนได้มากขึ้น และทำให้ความร่วมมือในการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางรถไฟร่วมกับทาง China Post และ Tengjun สามารถบริการได้คลอบคลุมประเทศจีนได้มากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทยังสามารถทำหน้าที่เป็น “One-Stop Service Provider” ให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าของไทยในการส่งออกและนำเข้าสินค้ากับประเทศจีน รวมถึงการกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก เนื่องจากบริษัทมีการจัดตั้งบริษัท Leo Sourcing & Supply Chain เพื่อทำการส่งสินค้าไปยัง e-Commerce Platform ของทาง China Post และ Tengjun รวมถึง e-Commerce Platform ของอีกหลายๆมณฑลในประเทศจีนที่เป็นพันธมิตรกับทางบริษัทมบริษัทเบาไทฯ รวมถึงการนำเข้าสินค้าจกประเทศจีนมายังประเทศไทย และในที่ประชุมคณะกรรมการฯของบริษัทฯในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ก็ได้อนุมัติให้ทางบริษัทจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับทางบริษัท เบาไทยฯ และศรีตรังฯ ในการให้บริการการขนส่งสินค้าทางรถไประหว่างประเทศไทย-ลาว-จีน โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการขนส่งสินค้าทางรถไฟในปีหน้าร่วมกับทางพันธมิตรของบริษัทเช่น China Post/Tengjun เบาไทยฯ และศรีไทยฯ ได้อย่างน้อย 200 ล้านบาทในปี 2566
นอกจากนี้ทางบริษัทฯก็ยังมีโครงการ JV และ M&A ที่อยู่ในระหว่างการเจรจาและหาข้อสรุปอีก 3-4 โครงการ ซึ่งคิดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ภายในไตรมาส 4/2565 นี้ และบริษัทจะสามารถเริ่มบุ๊ครายได้จากโครงการต่างๆเหล่านี้ได้ภายในไตรมาส 3/2566 เป็นอย่างช้า บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าปี 2566 จะเป็นปีที่บริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในด้านของธุรกิจและผลประกอบการ และสามารถสร้างผลงานให้เป็นนิวไฮอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 4