ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง MASTER ขายไอพีโอ 65 ล้านหุ้น เทรด mai เสริมแกร่งธุรกิจศัลยกรรม
ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง MASTER ขายไอพีโอ 65 ล้านหุ้น ลงสนาม mai หวังระดมทุนรองรับแผนการลงทุนเสริมแกร่งธุรกิจศัลยกรรม หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของ บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ MASTER เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565
โดย MASTER ได้ยื่นเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวมไม่เกิน 65,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 27.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ ประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 20.83% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย In Glory Investments Limited ไม่เกิน 15,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 6.25% ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ
ทั้งนี้ MASTER เป็นผู้ประกอบการกิจการสถานพยาบาลด้านศัลยกรรมความงามครบวงจรภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช” ซึ่งก่อตั้งโดยนายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ให้บริการด้านการศัลยกรรมครบวงจรโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการศัลยกรรม อาทิเช่น ศัลยกรรมเสริมจมูก ศัลยกรรมยกคิ้วและกรอบหน้า ศัลยกรรมหน้าอก ศัลยกรรมดูดไขมันปรับรูปร่าง ศัลยกรรมตา ศัลยกรรมปรับโครงสร้างรูปหน้า เป็นต้น รวมถึงการปลูกผม ดูแลเส้นผม และให้บริการดูแลผิวพรรณและเลเซอร์ ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้รับมาตรฐานระดับสากล โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 โรงพยาบาลมาสเตอร์พีชมีแพทย์ 41 ท่าน บุคลากร 533 คน และพื้นที่ให้บริการ 4,267 ตารางเมตร
ด้าน นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมเสริมความงาม ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช “Masterpiece Hospital” เปิดเผยว่า แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิสัยทัศน์ขององค์กร อีกทั้งการระดมทุนในครั้งนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดความสำเร็จของ MASTER อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งสู่การเป็น “ผู้นำศัลยกรรมเสริมความงามครบวงจรของไทย” เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปรับปรุงอาคารและห้องผ่าตัดบนพื้นที่โรงพยาบาลเดิม รวมถึงจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการศัลยกรรม (Surgery) การปลูกผมและดูแลเส้นผม (Hair) และบริการดูแลผิวพรรณและเลเซอร์ (Skin), ปรับปรุงอาคารเงินลงทุนสำหรับก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร เพื่อขยายพื้นที่ศูนย์บริการ เช่น ศูนย์ดูแลเส้นผม ศูนย์ดูดไขมัน ศูนย์ตา และศูนย์สุขภาพชาย เป็นต้น รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และสำนักงาน รวมถึงใช้ระดมทุน เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน สอดคล้องกับแผนการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต
ขณะเดียวกัน นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MASTER โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมเสริมความงาม ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช “Masterpiece Hospital” กล่าวว่า แผนเดินหน้าเข้า ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของ MASTER บนเส้นทางการดำเนินธุรกิจกว่า 9 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งบริษัทฯ และมีการพัฒนา ยกระดับ MASTER ให้เป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมครบวงจรยุคใหม่ เพราะเล็งเห็นปลายทางความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทำให้ตัวเองดูดีขึ้น จนเกิดเป็นการบอกต่อ และได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและบริการที่ประทับใจเรื่อยมา
สำหรับผลประกอบการของกลุ่มบริษัทฯในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2564) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยบริษัทฯในปี 2562 – 2564 และงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 414.03 ล้านบาท 611.06 ล้านบาท 659.51 ล้านบาท และ 1,011.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 47.59 ร้อยละ 7.93 และร้อยละ 133.99 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการดำเนินงานในปี 2562 – 2564 และงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 61.25 ล้านบาท 128.55 ล้านบาท 162.80 ล้านบาท และ 222.22 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 14.66 ร้อยละ 20.89 ร้อยละ 23.59 และร้อยละ 21.86 ตามลำดับ โดยอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสาเหตุหลักมาจากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ตามที่กล่าวไปข้างต้น