SM เคาะราคาไอพีโอ 2.04 บ. ระดมทุนปั้นพอร์ตสินเชื่อ-ขยายฐานลูกค้า ลุยเทรด 20 ธ.ค.นี้
SM เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 2.04 บาท เปิดจองซื้อ 8, 9 และ 13 ธ.ค.นี้ ระดมทุน 612 ล้านบาท เดินหน้าสู่ผู้นำธุรกิจสินเชื่อรายย่อย-เร่งขยายสาขากลุ่มลูกค้าภาคตะวันออก รองรับการเติบโต EEC ปักธงเทรด SET 20 ธ.ค.นี้
นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 หลักทรัพย์ คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จํากัด
โดยนับเป็นอีกก้าวความสำเร็จและความภาคภูมิใจของ SM ในฐานะผู้ให้บริการด้านสินเชื่อและผลิตภัณฑ์ทางการเงินชั้นนำในภาคตะวันออก ด้วยผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่น โดยบริษัทให้บริการสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกันประเภททะเบียนรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รถใช้งานเพื่อการเกษตร รวมถึงสินเชื่อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
รวมถึงขายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งในรูปแบบขายเงินสดและขายเงินผ่อน การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ จึงถือเป็นหนึ่งในแผนงานและก้าวย่างที่สำคัญของสตาร์ มันนี่ ที่จะช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 583 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้ขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อทุกประเภท ขยายสาขา รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และ/หรือประกันชีวิต เป็นต้น นอกจากนี้ ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทฯ เข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
ทั้งนี้ SM จะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ โดยมีบริษัท ธนาธิวัตถ์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วนก่อน IPO 43% หลัง IPO ในสัดส่วนที่ประมาณ 31.27% และกลุ่มครอบครัวลาวัณย์เสถียร สัดส่วนก่อน IPO 40.72% หลัง IPO สัดส่วนอยู่ที่ 29.61%
นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า SM ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่ราคา 2.04 บาทต่อหุ้น มูลค่าการเสนอขาย 612 ล้านบาท โดยสามารถจองซื้อหุ้น IPO ได้ในวันที่ 8, 9 และ 13 ธันวาคม 2565 โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 20 ธันวาคมนี้ ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ (ธุรกิจการเงิน) ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “SM”
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.04 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 17.25 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565) ทั้งนี้ พิจารณานำ P/E เฉลี่ยของบริษัทเทียบเคียงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของ P/E เท่ากับ 29.71 เท่า
ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ และศักยภาพการเติบโตภายหลังจากการเข้าระดมทุนครั้งนี้ จะช่วยเสริมแกร่งแหล่งเงินทุนให้ SM พร้อมชูกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในอีก 4 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2565 – 2568 ด้วยการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์สินเชื่อทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลาย
พร้อมทั้งขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการตามจังหวัดที่สำคัญของประเทศ อีกทั้ง จากประสบการณ์การทำงานยาวนานมากกว่า 30 ปี และมีความสัมพันธ์ที่ดีในภาคตะวันออกเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ SM สามารถขยายกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากการเติบโตและการขยายของ EEC ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทั้งภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ SM สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน
ด้านผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 SM มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,066.84 ล้านบาท เติบโต 12.09% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 80.79 ล้านบาท พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมที่ 4.48% โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าสัดส่วน 61.87% รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ 5.86% รายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม 28.28% รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และรายได้อื่นอยู่ที่ 3.99%
อย่างไรก็ดีในปี 2565 คาดว่าผลประกอบการจะใกล้เคียงของปี 2564 เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ในปี 2566 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัว มีปัจจัยหนุนจาก EEC และเงินระดมทุนจะสนับสนุนแผนการเติบโต