IIG กางแผนเจาะตลาด CLMV ดันรายได้ปี 66 โต 60%

IIG ตั้งเป้ารายได้ปี 66 โต 60% แตะ 1,400 ลบ. พร้อมปรับกลยุทธ์เพิ่มอัตรากำไรสุทธิ และลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รุกขยายธุรกิจ CLMV เจรจาปิดดีล M&A เพิ่มต้นปีหน้า


นายสมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญที่จะต้องเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) โดยมีแผนดำเนินการในหลายด้านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ซึ่งไตรมาส 3 ของปีนี้น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 11-12% ในไตรมาสสุดท้าย

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้มีแผนขยายโครงสร้างการบริหารงานภายใน โดยจะมีการแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO (Chief Operating Officer) คนใหม่ ซึ่งจะเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานด้านการบริการที่ปรึกษา ออกแบบ และติดตั้งระบบ ในขณะที่ประธานเจ้าหน้าฝ่ายเทคโนโลยี หรือ CTO (Chief Technical Officer) จะดูแลงานด้านเทคโนโลยี พาร์ทเนอร์ และด้านการขาย เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะเดียวกันได้เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้าน IT ซึ่งมาจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป ความคาดหวังของพนักงาน รวมไปถึงการแย่งชิงบุคลากรในอุตสาหกรรมด้วย โดยบริษัทฯ มีแผนการพัฒนางานด้าน Human Resource Development (HRD) นำโดย Chief People Officer ของบริษัทฯ เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน (Engagement) ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายการเพิ่มความสามารถในการทำงาน และ Productivity

อีกกลยุทธ์ที่สำคัญมาก คือ การที่บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้า เพื่อเปลี่ยนแปลงสกุลเงินในการให้บริการใบอนุญาตการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Subscription) จากสกุลเงินบาทมาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐทั้งหมด ทั้งสัญญาใหม่ และการต่อสัญญาเดิม เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนมาก โดยบริษัทฯ ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐบ้างแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนของบริษัทฯ ที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ ซึ่งจากการพูดคุยลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจและยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

นอกจากนี้ยังเดินหน้าขยายพันธมิตรธุรกิจทั้งในรูปแบบการควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition) และกิจการร่วมค้า (Joint Ventures) หลังจากล่าสุดได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อเข้าซื้อกิจการกลุ่มบริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัด โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทพันธมิตร โดยเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสุทธิ 13-14% และมีเป้าหมายขยายธุรกิจไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Lao, Myanmar, Vietnam) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้มั่นใจว่า ปี 66 บริษัทฯ จะสามารถทำสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 66 จะมีรายได้มากกว่า 1,400 ล้านบาท เติบโต 60% เป้าการเติบโตบริษัทมองแบบ Conservative ซึ่งคิดว่ายังมีความสามารถในการเติบโตมากกว่านี้ โดยส่วนหนึ่งมาจากรายได้ของบริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัด ที่จะรวมเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 66 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้กว่า 300 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯ ยังตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิให้ไม่ต่ำกว่า 12% ซึ่งถือเป็น KPI ของทั้งบริษัทฯ

ขณะที่รายได้ปี 67 ตั้งเป้ารายได้จะขึ้นไปแตะ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นผลจากการเติบโตของธุรกิจเดิมของบริษัทฯ (Organic Growth) จากการให้บริการ CRM และ ERP ที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 20-25% อีกทั้งยังมีรายได้เสริมจากธุรกิจใหม่ อาทิ MarTech, Insure Tech และ Health Tech ซึ่งจะสร้างการเติบโตให้บริษัทฯ ในระยะยาว

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 บริษัทฯ มีรายได้รวม 708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 71.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดใหม่ (New high) ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยมาจากรายได้ประจำ (Recurring Revenue) 40.2% และรายได้ไม่ประจำ (Non-recurring Revenue) 59.8%

ทั้งนี้หากแยกตามประเภทของธุรกิจจะพบว่า CRM (Customer Relationship Management) ยังคงเป็นธุรกิจที่ทำรายได้มากที่สุด จำนวน 404 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 55.5% ของรายได้รวมทั้งหมด ตามด้วย ERP (Enterprise Resource Planning) ทำรายได้ 277 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.7%

อย่างไรก็ตามผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 18.31 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสสอง 25% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วง 9 เดือน ลดลงเหลือ 24% เทียบกับ 28% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงมาอยู่ที่ 10.1% เทียบกับอัตรากำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี เฉลี่ยที่ 11.5-11.6%

โดยสาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นถึง 190.87 ล้านบาท เทียบกับ 160.84 ล้านบาทในไตรมาส 1 และ 176.54 ล้านบาทในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนพนักงานที่มากขึ้นจาก 282 คนในปีที่แล้ว เป็น 380 คน (ณ สิ้นเดือนกันยายน 65) ประกอบกับการมีพนักงานไม่เพียงพอ ทำให้ต้องจ้างบุคลากรจากบริษัทภายนอกองค์กรมากขึ้น เพื่อเร่งดำเนินโครงการให้เร็วกว่ากำหนดตามที่ลูกค้าต้องการ โดยในช่วง 9 เดือนแรก ต้นทุน Outsourcing เพิ่มขึ้นเป็น 109.8 ล้านบาท (มูลค่ารวม 9 เดือน) เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับต้นทุนการจ้างบุคลากรจากบริษัทภายนอก ปีก่อนหน้า 73.5 ล้านบาท (มูลค่ารวม 12 เดือน) เป็นผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง

จากแผนการพัฒนาบุคลากร ประกอบกับการเข้าซื้อกิจการบริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัด จะทำให้บริษัทฯ สามารถลดต้นทุนการจ้างงานภายนอกองค์กรได้อย่างมาก ซึ่งปัจจุบันแลนซิ่งมีพนักงานกว่า 300 คน นอกจากนี้ยังมองหาบริษัทที่ให้บริการ Outsource ในประเทศเวียดนาม เนื่องด้วยเป็นประเทศที่มีบุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญด้านไอทีสูงและต้นทุนต่ำกว่าด้วย” นายสมชาย กล่าว

Back to top button