WHA ปักธงปี 65 รายได้ออลไทม์ไฮ รับยอดโอนที่ดินทะลุ 1,650 ไร่ พ่วงโลจิสติกส์ – น้ำ หนุน
WHA ปักธงรายได้ทั้งปี 65 ออลไทม์ไฮ รับยอดโอนที่ดินกว่า 1,650 ไร่ พร้อมตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปี 66 แตะ 2,000 ไร่ พ่วงธุรกิจโลจิสติกส์และสาธารณูปโภคหนุนรายได้เพิ่ม
นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 29 พ.ย. 65 ว่า ไตรมาส3/65 บริษัทมีธุรกิจโลจิสติกส์ พื้นที่รวมมากว่า 2.7 ล้านตร.ม. ยังคงเติบโตต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ส่วนธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม มีพื้นที่รวม 71,300 ไร่ มีทั้งพื้นที่พัฒนาแล้ว พื้นที่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และพื้นที่ที่ขายออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในประเทศมียอดขายที่ดินช่วง 9 เดือนแรก 1,412 ไร่ ส่วนในเวียดนาม 100 ไร่ สำหรับยอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/65 ที่รอรับรู้รายได้กว่า 1,400 ไร่ โดยส่วนใหญ่เป็นที่ดินในประเทศจำนวน 1,356 ไร่
โดยผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 6,570.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,240.3 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 6,669.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.3% และกำไรปกติ 1,325.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าว เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจที่เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) ปีนี้บริษัทมียอดขายที่เติบโตได้ค่อนข้างดีอยู่ที่ 112 ล้านลบ.ม.เติบโตขึ้น 9% และยังมีแหล่งน้ำเพิ่มเติมอีก 11 ล้าน ลบ.ม.ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนการซื้อน้ำหลักจากภาคตะวันออก รวมถึงช่วยสร้างความมั่นคงให้แหล่งน้ำได้ทั้งระบบ ขณะเดียวกันธุรกิจไฟฟ้าดำเนินการแล้วเสร็จไป 619 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 62 เมกะวัตต์
ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ตอนนี้มีพื้นที่ 135,000 ตร.ม. จากพื้นที่ที่หมดที่ออกแบบไว้ในพื้นที่นี้ 400,000 ตร.ม. โดยในช่วงต้นปี 2565 บริษัทได้เปิดโครงการ “WHARY 36” พื้นที่ 1,280 ไร่ ซึ่งเป็นนิคมที่บริษัท BYD ของจีนเข้ามาซื้อที่ดินก่อนหน้านี้ ส่วนกรณีการร่วมทุนกับ BIG ทำโรงไนโตรเจนให้กับลูกค้าเป็นโรงแรก ขณะนี้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับธุรกิจดิจิทัลเฮลท์แคร์ บริษัทได้ร่วมทำ MOU กับโรงพยาบาลสมิติเวช และจะเปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลอีกหลายแห่งเพิ่มมากขึ้น และในระยะ 3- 4 เดือนต่อจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัว “Meta W” ซึ่งเป็นโมเดลที่อยู่ภายในนิคมของบริษัทเอง
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ตามแนวทาง SBTi (Science Based Targets Initiative) ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของโลกและประเทศไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2564 โดยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 19,250 ตันคาร์บอน ในขณะที่ธุรกิจโซล่าร์สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไป 26,378 ตันคาร์บอน และมีการจดทะเบียนคาร์บอนเครดิตกับ T-VER
ในส่วนของ Assets Monetization to REITs ปีนี้บริษัทขายสินทรัพย์เข้ากอง 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นโลจิสติกส์ พร้อพเพอร์ตี้ จะขายให้กับ WHART คาดว่าจะสามารถโอนได้ในช่วงต้นเดือนธ.ค. 65 นี้ ส่วนที่เป็น Ready-Built FACTORY กับ Ready-Built Warehouse ขายให้กับ WHAIR ซึ่งทั้งสองกองมีการเพิ่มทุนเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้
สำหรับไตรมาส 4/65 ยังมียอดขายที่ดินเข้ามาพอสมควร เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 1,650 ไร่ อย่างน้อย 10% ส่วน ยอดขายที่ดินในปี 66 จะสูงถึง 2,000 ไร่ และจะมีโครงการของ BYD ที่ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะตัดสินว่าจะมีการโอนเกิดขึ้นบางส่วนภายในปี 65 หรือไม่ เนื่องจากจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานมากพอสมควร ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโต 20%