เปิดโผ 7 หุ้น อานิสงส์รายได้เกษตร Q4 โตแกร่ง โบรกชู “ค้าปลีก-ก่อสร้าง-สินเชื่อ” เด่น
คัด 7 หุ้นได้ประโยชน์ โบรกคาดรายได้เกษตรกรไตรมาส 4/65 โตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะราคาปศุสัตว์ที่แข็งแกร่งจากอุปสงค์ที่กลับเข้ามา และผลผลิตข้าวเปลือกระดับสูงในเดือนพ.ย.-ธ.ค.65 จะขับเคลื่อนรายได้ภาคเกษตรของไทยให้เติบโตขึ้น ยังคงมีมุมมองบวกต่อกลุ่ม "ค้าปลีก-ก่อสร้าง-สินเชื่อ" รับยอดขายทะลัก
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลจากนักวิเคราะห์ มีมุมมองรายได้เกษตรกรจะมีการเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้จะเกิดน้ำท่วม ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ท่ามกลางราคาอาหารที่สูงขึ้น และช่วงวิกฤตอาหารโลกก็ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ภาคเกษตรกร จากราคาข้าว ผลผลิต และปศุสัตว์ที่แข็งแกร่ง
สะท้อนจากนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า รายได้เกษตรเดือนตุลาคม 2565 เพิ่มขึ้น 25.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจากราคาที่สูงขึ้น 18.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 0.8% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และผลผลิตที่มากขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 9.6% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา รวมถึงดัชนีรายได้ภาคเกษตรของไทยอยู่ที่ 21,789 เคลื่อนไหวดีที่สุด
สำหรับปัจจัยหนุนหลักข้าวเปลือก เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจากทั้งการผลิตเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 17.2% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และราคาเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ผลผลิตเป็นปัจจัยหนุนหลักเพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวเห็นได้ชัดว่าผลกระทบจากน้ำท่วมอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
โดยราคาหน้าฟาร์ม ข้าวเปลือก (บาทต่อตัน และ บาทต่อกิโลกรัม) ข้าวหอมมะลิอยู่ที่ 14,141 บาท และเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และข้าวเปลือกยาวอยู่ที่ 9,415 บาท และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
ส่วนยางพาราลดลง 6.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจากการผลิตลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และราคาลดลง 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มของยางพาราค่อนข้างน่าท้าทายจากอุปสงค์จากจีน การกลับมาสต็อกสินค้ารอบก่อนและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยางพารา (บาทต่อกิโลกรัม) ยางพาราและแผ่นยางไม้รมควัน ชั้น 3 อยู่ที่ 46.95 บาท และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
ขณะที่ปศุสัตว์เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาจากการผลิตเพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6.7% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา และราคาเพิ่มขึ้น 40% เมื่อ
ด้านปศุสัตว์ (บาทต่อกิโลกรัม) โดยราคาสุกรมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม อยู่ที่ 103.93 บาท ลดลง 1% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ขณะที่ราคาไก่เนื้ออยู่ที่ 45.28 บาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ส่วนราคาปุ๋ย 46 บาทต่อตัน ราคาขายส่งอยู่ที่ 26,100 บาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา ราคาขายปลีกอยู่ที่ 27,762 บาท เพิ่มขึ้น 81% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คาดรายได้เกษตรของไทยไตรมาส 4/2565 จะเคลื่อนไหวดีที่สุด โดยเฉพาะราคาปศุสัตว์ที่แข็งแกร่งจากอุปสงค์ที่กลับเข้ามา และผลผลิตข้าวเปลือกระดับสูงในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2565 จะขับเคลื่อนรายได้ภาคเกษตรของไทยให้เติบโตขึ้น หลักสิบเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ท่ามกลางราคาอาหารที่สูงขึ้น และช่วงวิกฤตอาหารโลก คาดการณ์แนวโน้มปี 2566 ของรายได้ภาคเกษตรของไทยจะอยู่ระดับปานกลาง จาก 1) ผลกระทบจากฐานที่สูงมากจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกในปี 2565
2) ผลผลิตข้าวเปลือกในปี 2566 ที่คาดจะอยู่ในระดับเดียวกับในปี 2565 จากระดับน้ำที่มากเพียงพอในเขื่อนหลักประกอบกับอุณหภูมิปัจจุบันด้านปัจจัยบวกในปี 2566 คาดจะมาจากเงินเฟ้อของไทยและค่าครองชีพที่ลดลง
โดยยังคงมองกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากรายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มมากขึ้น ทางนักวิเคราะห์มีมุมมองต่อกลุ่มตกแต่งบ้านในต่างจังหวัด บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.40 บาท และ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ยังคงแนะนำ “ถือ” 11.80 บาท
อีกทั้งยังมีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.30 บาท และ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 38 บาท
รวมถึงกลุ่มสินเชื่อทะเบียนรถยนต์เป็นหลักประกัน ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ยังคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 32 บาท, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ยังคงแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 46 บาท และ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SAK ยังคงแนะนำ “ซื้อ” 7.70 บาท