เปิด 13 หุ้นน่าสอย เดือน ธ.ค. ชู GULF-BGRIM เด่น

ส่อง 13 หุ้นน่าลงทุนเดือนธ.ค. โบรกแนะนำ COM7, MTC, TISCO, BEC, SCGP, GULF, BBL, CPALL, KTB, HMPRO, AOT, BDMS, BGRIM


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ออกบทวิเคราะห์กลยุทธ์ลงทุน ระบุว่า แรงกดดันตลาดการเงินโลกดูผ่อนคลายลงมาระดับหนึ่ง เริ่มจาก (1) เงินเฟ้อหลายประเทศเริ่มแผ่วลง เงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงติดต่อกัน 4 เดือน และไทยชะลอลงมา 2 เดือนติด และฝ่ายวิจัยคาดมีแนวโน้มลดลงจนอยู่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดคาดในกลางปีหน้า เช่นเดียวกับเงินเฟ้อไทยที่ ธปท. คาดจะเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในปีหน้า, (2) ดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้จุดที่เหมาะสม แม้ตลาดคาด Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ 4% ในเดือน พ.ย. แต่ในปีหน้ากรอบบนการขึ้นดอกเบี้ยถูกจำกัดอยู่ที่ระดับ 5.25% เห็นได้ว่าระดับการขยับขึ้นค่อนข้างจำกัด ช่วยลดความผันผวนทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่จะเกิด Recession ชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากการเกิด Inverted Yield Curve ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อายุ 10 ปี และ 2 ปี ของสหรัฐที่ยาวนาน รวมถึงข้อมูลจาก Bloomberg ชี้ว่าปี 2566 ยุโรปมีโอกาสเกิด Recession เพิ่มขึ้นเป็น 80% สหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 63% แต่ไทยยังห่างไกล และลดลงเหลือเพียง 13% ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศ ดังนี้ (1) สำนักเศรษฐกิจต่างประเทศ IMF, World Bank คาด GDP ปี 2566 เติบโต 3.7% และ 4.3% ตามลำดับ, (2) คาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีสัญญาณการขาดดุลลดลงทั้งจากดุลการค้าดีขึ้นจากการนำเข้าต้นทุนพลังงานที่ราคาเริ่มลดลง และดุลบริการปรับตัวดีขึ้น หลังจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการเดินทางข้ามพื้นที่,

(3) เงินทุนสำรองระหว่างประเทศกำลังฟื้นตัว, (4) ช่วงที่เหลือของปีคาดหวังแพ็คเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ อาทิ ช้อปช่วยชาติ เป็นต้น และ (5) FDI ของไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นในอนาคต และล่าสุดมูลค่าเงินลงทุนต่างชาติงวด 9 เดือนแรกปี 2565 เพิ่มขึ้น 35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 223,746 ล้านบาท ส่วนฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังคาดหวังการไหลเข้าต่อเนื่อง จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังโตต่อเนื่องในปี 2566 ในมุมมองของ IMF มีเพียง 2 ประเทศในเอเชีย คือ ไทยกับจีนเท่านั้น

ขณะที่เม็ดเงินจาก LTF หนุนตลาดในเดือนธันวาคมคาดหวังได้ยาก เพราะหลังจากเปลี่ยนเป็นกองทุน SSF เม็ดเงินที่เคยไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 2-3 หมื่นล้านบาทในเดือนสุดท้ายของปีเหลือเพียง 1–2 พันล้านบาท ในมุม Valuation ตลาดหุ้นไทยยังดูน่าสนใจ เนื่องจากมี Market Earning Yield Gap. ที่ระดับ 4.3% แม้ภาพรวม SET Index จะมี Upside ไม่มาก จากกรอบดัชนีเป้าหมายปี 2565 ที่วางไว้ 1,685-1,720 จุด ทั้งนี้กลยุทธ์การลงทุนจึงเน้นกลุ่ม Domestic Consumption แนวโน้มเติบโตยังสดใสกว่าภาพรวมตลาด อย่าง บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO, บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มองบวกกับแนวโน้มดัชนี SET ในเดือนธันวาคม โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมื่อนักลงทุนเห็นความชัดเจนของ (1) สถานการณ์โควิดในจีนและทิศทางของนโยบาย (2) ผลการประชุม Fed และ ECB ซึ่งทางฝ่ายวิจัยยังคงคาดว่าตลาดจะขึ้นได้ในช่วงปลายปี เพราะนักลงทุนน่าจะยังมองบวกกับแนวโน้มหุ้นไทยในปี 2566 เนื่องจาก GDP มีแนวโน้ม Outperform รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยจะหนุนให้ดุลบัญชีเดินสะพัดดีขึ้น และวัฏจักรค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่กำลังผ่านช่วงสูงสุดจะหนุนให้ค่าเงินเอเชียแข็งค่าขึ้น

สำหรับหุ้นเด่นของทางฝ่ายวิจัยในเดือนธันวาคม ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, GULF และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM

Back to top button