SCB CIO กางกลยุทธ์ลงทุนปี 66 แนะสะสมหุ้นกลุ่ม “Domestic Play”
SCB CIO กางกลยุทธ์ลงทุนปี 66 แนะทยอยสะสมหุ้น “ไทย-อินโดนีเซีย” ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้และกำไรต่อเนื่อง จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO ประเมินภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2566 มีความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูงขึ้น จากปัจจัยดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้นออกฤทธิ์ โดยมี 6 ประเด็น ดังนี้
1.อัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้วในหลายประเทศ แต่ยังปรับตัวลดลงช้าและยังเกินเป้าหมายของธนาคารกลางหลัก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงช้า ทำให้การบริหารจัดการเรื่องเงินเฟ้อยังเป็นประเด็นหลักที่ธนาคารกลางต้องทำนโยบายการเงินแบบตึงตัว
2.อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบช้าลง (slower rate hike) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนกว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย โดยในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน SCB CIO คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกธนาคารกลางหลักจะยังคงให้น้ำหนักกับประเด็นเงินเฟ้อสูงเป็นหลัก และในช่วงครึ่งหลังจะเริ่มมาให้น้ำหนักการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในอัตรา 0.50 bps. สู่ระดับ 4.50% ในการประชุมระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ และคาดว่าใน 3 การประชุมแรกของปี 2566 จะปรับขึ้นอีกครั้งละ 25 bps. แล้วคงดอกเบี้ยที่ 5.25% ต่อเนื่องจนถึงปลายปี 2566
สำหรับในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2566 คาดว่าจะมีการขยับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 50 bps. เป็น 1.75% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดก่อนเกิด COVID-19 โดยสาเหตุที่ขยับขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่มากนักเนื่องจาก ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปี 2566 เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น (โดยจากค่าเงิน US Dollar index ที่เริ่มชะลอการแข็งค่า ร่วมกับแนวโน้มการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวและการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย จึงปรับประมาณการค่าเงินบาทปลายปี 2565 ที่ 35-36 และปลายปี 2566 ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) และการเริ่มกลับมาเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ในอัตราเดิม 0.46% จากที่เคยปรับลดลงเหลือ 0.23% ในช่วงวิกฤต COVID-19 ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องส่งผ่านต้นทุนส่วนหนึ่งไปยังภาคธุรกิจและครัวเรือนผ่านดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย
3.ผลจากอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยในระดับสูงทำให้เกิดภาวะการชะลอลงของเศรษฐกิจหลักอย่างมีนัยและพร้อมเพรียงกัน (Synchronized and serious slowdown) โดย SCB CIO เชื่อว่า ยูโรโซน และอังกฤษ ยังเป็น 2 กลุ่มเศรษฐกิจหลักที่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยแบบรุนแรงสูง จากผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตด้านพลังงาน ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงด้านนี้ต่ำกว่าจากความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและภาคครัวเรือนและธุรกิจที่มีการก่อหนี้ต่ำเมื่อเทียบกับการเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงครั้งก่อนๆ
4.การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการประท้วงจะเป็นหนึ่งในปัจจัยกดดันให้ทางการจีนยกเลิก Zero Covid Policy ในปี 2566 แต่การเปิดเมืองเปิดประเทศน่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้า การลงทุนและนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี
5.ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์จากทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความไม่แน่นอนด้านนโยบายเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ความผันผวนในตลาดการเงินโลกยังมีแนวโน้มสูงต่อไป
6.การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานการผลิตของโลกจะยิ่งเร็วขึ้น ตามกระแส Geopolitics, ESG, และ Digital innovation โดยปัจจัยด้านความยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง (resiliency) และด้านความมั่นคง (security) จะถูกนำมาพิจารณาร่วมกับปัจจัยด้านประสิทธิภาพ (efficiency) มากขึ้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 เน้นการลงทุนแบบระมัดระวังและกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง จึงยังคงแนะนำถือเงินสดหรือลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ 5-15% ของพอร์ตโฟลิโอ แนะสะสมพันธบัตร/หุ้นกู้ โดยทยอยเพิ่ม Duration แต่เน้นที่มีคุณภาพสูง SCB CIO เชื่อว่าในภาวะเศรษฐกิจดังกล่าวนักลงทุนควรเน้นลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนจากกระแสเงิน (Yield) มากกว่าผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (capital gain)
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นยังต้องระวังกับดักด้านมูลค่า (Valuation trap: P/E ) ต่ำจากราคาที่ปรับลง แต่กำไรในอนาคตมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลงเช่นกัน สำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ แนะนำทยอยสะสมหุ้นไทยและอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้และกำไรต่อเนื่องจากอานิสงค์การฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศ
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงถดถอย แต่การเปิดเมืองของจีนและการลดกำลังการผลิตของOPEC ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบช้าลงของเฟดส่งผลให้แรงกดดันค่าเงินของกลุ่มประเทศ Emerging Markets เริ่มชะลอลง โดยเฉพาะในประเทศที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุล เช่น ไทย ทำให้การป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนมีความจำเป็นมากขึ้น