“ดาวโจนส์” ปิดลบ 300 จุด วิตก PPI สูงเกินคาด กดดัน “เฟด” เร่งขึ้นดอกเบี้ย
“ดัชนีดาวโจนส์” ปิดลบ 305 จุด วิตกข้อมูล PPI สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ หนุน “เฟด” เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (9 ธ.ค.) หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,476.46 จุด ลดลง 305.02 จุด หรือ -0.90%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,934.38 จุด ลดลง 29.13 จุด หรือ -0.73% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,004.62 จุด ลดลง 77.39 จุด หรือ -0.70%
โดยในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 2.8%, ดัชนี S&P500 ร่วงลง 3.4% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 4% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงในสัปดาห์นี้ หลังจากเพิ่มขึ้น 2 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยถูกกดดันจากการที่นักลงทุนวิตกว่าเศรษฐกิจอาจจะถดถอยในปีหน้า เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด
ทั้งนี้ นักลงทุนกังวลว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตประจำเดือนพ.ย.ในวันศุกร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และทำลายความหวังที่ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว
ดัชนี PPI ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 7.4% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.2% และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไปดีดตัว 0.3% ในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2%
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.2% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.9% และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐานดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2%
สัญญาดอกเบี้ยล่วงหน้าบ่งชี้ว่า มีโอกาส 77% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในสัปดาห์หน้า และมีโอกาส 23% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันที่ 13 ธ.ค. ก่อนที่เฟดจะเปิดเผยผลการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้
ด้านหุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลบ นำโดยกลุ่มพลังงานซึ่งร่วงลง 2.33% ตามมาคือหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ร่วง 1.28%, หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 7 แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2561 เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้จากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ส่วนหุ้นรายตัวนั้น หุ้นลูลูเลมอน แอธเลติกา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องแต่งกายกีฬาของแคนาดา ร่วงลงเกือบ 13% หลังคาดการณ์รายได้และผลกำไรไตรมาส 4 ต่ำกว่าคาด แต่หุ้นเน็ตฟลิกซ์ อิงค์ ปรับตัวขึ้น 3.1% สวนทางตลาด หลังเวลส์ ฟาร์โก ปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนเป็น “เพิ่มน้ำหนักการลงทุน”
หุ้นบรอดคอม ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิป พุ่งขึ้น 2.6% หลังคาดการณ์รายได้ในไตรมาส 4 สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด, หุ้นโบอิ้ง ปรับตัวขึ้น 0.3% สวนทางตลาดด้วยเช่นกัน หลังสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โบอิ้งมีแผนการที่จะประกาศข้อตกลงกับยูไนเต็ด แอร์ไลน์สำหรับการสั่งซื้อเครื่องบินดรีมไลเนอร์ 787 ในสัปดาห์หน้า