“ดาวโจนส์” เปิดบวกเล็กน้อย นลท.จับตาตัวเลขเงินเฟ้อ-ประชุมเฟด
“ดาวโจนส์” เปิดบวกเล็กน้อย นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อหรัฐ-ประชุมเฟด โดย ณ เวลา 21:35 น. ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,587.84 จุด บวก 111.38 จุด หรือ 0.33%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(12ธ.ค.65) ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในการซื้อขายวันแรกของสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมทั้งการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดย ณ เวลา 21.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,587.84 จุด บวก 111.38 จุด หรือ 0.33%
สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่มีความเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก โดยธนาคารกลาง 4 แห่ง รวมเฟด จะจัดการประชุมนโยบายรอบสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันที่ 13 ธ.ค. ด้วย
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในวันที่ 13 ธ.ค. เพื่อประเมินทิศทางเงินเฟ้อ ก่อนที่เฟดจะเปิดเผยผลการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14 ธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้
นอกจากนี้ ตลาดจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2566 รวมทั้งการเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะส่งสัญญาณแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดจนถึงปี 2568
นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมรอบนี้ หลังจากปรับขึ้น 0.75% เป็นจำนวน 4 ครั้งติดต่อกัน ขณะที่นายพาวเวลส่งสัญญาณว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
นอกจากนี้ ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทะลุ 5.00% ในกลางปีหน้า หลังการเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่สามารถสกัดความร้อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้าเพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 2.00% ในปีหน้า หากสหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย
รายงานระบุว่า เฟดได้ประเมินความเสี่ยงของเงินเฟ้อต่ำเกินไปในปี 2565 ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ยอมรับว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวตามที่เฟดระบุก่อนหน้านี้ ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ทำให้เฟดมีความเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจอาจเผชิญภาวะถดถอยในปี 2566 ขณะที่เฟดประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจต่ำเกินไปจากการใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงิน