จับตาหุ้นโรงไฟฟ้าวิ่ง! TSE นำโด่งคุณสมบัติขนาดเล็ก ลุ้น GULF-GUNKUL ชิง SSP วันนี้
จับตาหุ้นโรงไฟฟ้าวิ่ง! ยื่นขายไฟ 5,203 เมกะวัตต์ TSE นำโด่งคุณสมบัติขนาดเล็ก 50 โครงการ จับตาไฮไลท์ขาใหญ่ SPP ลุ้นกฟผ.ประกาศผ่านเว็บไซต์วันนี้ กัลฟ์-กันกุล-GPSC หลายโครงการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดให้เอกชนยื่นเสนอขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าประเภทไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 กำลังการผลิตรวม 5,203 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นก๊าซชีวภาพ 335 เมกะวัตต์ พลังงานลม 1,500 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน 1,000 เมกะวัตต์ และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 2,368 เมกะวัตต์ โดยมีผู้ยื่นคำเสนอขายไฟฟ้ารวม 670 โครงการ แบ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 272 โครงการและผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) จำนวน 398 โครงการ คิดเป็นปริมาณเสนอขายรวมมากถึง 17,400 เมกะวัตต์ สูงกว่าที่กำหนดไว้มากกว่า 3 เท่า
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ โดย กฟน.มีเพียง 1 ราย ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน กำลังผลิตติดตั้ง 3.4 เมกะวัตต์ ของบริษัท สมาร์ท คลีน ซิสเท็ม 1 จำกัด ซึ่งเป็นของกลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
ส่วน กฟภ.ประกาศรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติจำนวน 303 โครงการ แบ่งเป็นโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 290 โครงการ และโครงการพลังงานลม จำนวน 13 โครงการ โดยพบว่า กลุ่มบริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE มีจำนวนมากสุดกว่า 50 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด), บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM มีจำนวน 8 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด), บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL จำนวน 4 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด)
กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP และบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG จำนวน 5 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด), บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE จำนวน 4 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด), บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE จำนวน 3 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด)
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO จำนวน 2 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด), บริษัท ทีพีไอโพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP จำนวน 2 โครงการ (โครงการพลังงานลมทั้งหมด), กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA จำนวน 3 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด), บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC จำนวน 3 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด) บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)หรือ QTC จำนวน 2 โครงการ (โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด) เป็นต้น
ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แจ้งว่า มีผู้ยื่นเสนอเข้ามาประมาณ 400 โครงการ เบื้องต้น กฟผ. ได้ตรวจสอบรายชื่อทั้งหมด ทั้งผ่านและไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ และได้มีการแจ้งไปยังผู้ประกอบการแต่ละรายแล้ว ส่วนรายชื่อผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัตินั้น กฟผ.ได้ส่งมายัง กกพ.เพื่อประกาศในภาพรวมต่อไป โดยมีรายงานว่าน่าจะประกาศผ่านเว็บไซต์ กฟผ.ในวันนี้ (13 ธ.ค. 2565) และถือเป็นที่น่าจับตายิ่ง เพราะจะเป็นโครงการของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) อย่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เป็นต้น
ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ สามารถยื่นอุทธรณ์ พร้อมเอกสารหลักฐานต่อ กกพ.ภายในวันที่ 22 ธ.ค. 2565 หลังจากนั้นสำนักงาน กกพ.จะประกาศผลพิจารณาคุณสมบัติวันที่ 11 ม.ค. 2566 และประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกวันที่ 22 มี.ค. 2566 จากนั้นการไฟฟ้าฯ จะแจ้งผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าที่ได้รับการคัดเลือกทราบและยอมรับเงื่อนไขการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในวันที่ 5 เม.ย. 2566
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ปรับน้ำหนักลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้าขึ้นเป็น “มากกว่าตลาด” หรือ Overweight จากเดิม “เท่ากับตลาด” โดยประเมินราคาก๊าซธรรมชาติ จะไม่สูงกว่าระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญช่วงไตรมาส 4/2565 ถึงช่วงครึ่งแรกปี 2566
นอกจากนี้มีเซนติเมนต์เชิงบวกจากโครงการพลังงานทดแทน 5,203 เมกะวัตต์ที่จะประกาศผลช่วงครึ่งแรกปี 2566 และแผนพัฒนาไฟฟ้าของเวียดนามและราคาหุ้นกลุ่มไฟฟ้าช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 4% มาจากแนวโน้มค่าก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มไม่สูงไปกว่าระดับปัจจุบัน ขณะที่ค่า Ft อยู่ในขาขึ้น ทำให้ผลประกอบการกลับมาฟื้นตัวได้ และเชื่อว่าจะ outperform SET ต่อไปจากประเด็นดังกล่าว
โดยเลือกบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เป็น Top pick ของกลุ่ม แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดช่วงไตรมาส 3/2565 และโครงการที่อยู่ระหว่างศึกษา 3,500 เมกะวัตต์ หากสำเร็จเป็นมูลค่าเพิ่มต่อบริษัท และบริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP แนะซื้อราคาเป้าหมาย 16 บาท