20 หุ้นเด่น! รับเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว
คัดเลือก 20 หุ้นเด่นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจจีนเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว-เปิดประเทศ โดยคัดท็อปพิกเลือก AOT, NER, KCE, NOBLE, SCGP, CBG และ MTC
รัฐบาลจีนทยอยผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโควิด-19 (Zero-Covid) มากขึ้น โดยกรุงปักกิ่งมีการขยายบริการทางการแพทย์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนฮ่องกงได้มีการยกเลิกมาตรการสั่งห้ามนักเดินทางเข้าในบริการสถานบันเทิงและร้านอาหาร ท่ามกลางผู้ติดเชื้อโควิด รายวันในจีนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ณ วันที่ 12 ธ.ค.อยู่ที่ 7,679 ราย ลดลงจากจุดสูงสุดที่เคยสูงเกิน 4 หมื่นราย
ทั้งนี้ สถานการณ์โควิดในจีนที่มีทิศทางดีขึ้นตามลำดับ เป็นผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาคึกคัก อาทิ การบินภายในประเทศจีนกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยพุ่งขึ้นสู่ระดับ 65% ของช่วงก่อนโควิดระบาด (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ธ.ค.) ฯลฯ ขณะที่รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงก่อนหน้านี้ สะท้อนจากเงินเฟ้อจีนที่ปรับตัวลดลง (เดือน พ.ย. อยู่ที่ +1.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หดตัวลงจากเดือน ต.ค. อยู่ที่ +2.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) อาทิ การลดอัตราดอกเบี้ย LPR, การผ่อนผันชาระหนี้ธนาคาร, การสนับสนุนสภาพคล่องในภาคอสังหาฯ,การสนับสนุนภาษีพิเศษในอุตสาหกรรม Semi-Conductor ฯลฯ
สำหรับปัจจัยบวกข้างต้น บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดว่าจะเห็นการกลับมาเปิดประเทศในเร็ววันนี้ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในบ้านเราน่าจะได้รับประโยชน์เช่นกัน โดยได้คัดเลือกหุ้นเด่นในแต่ละอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจจีนที่กาลังจะเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว รวมถึงการเปิดประเทศ รายละเอียดดังนี้
กลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยปี 2565 ครบตามเป้าหมายก่อนกำหนดที่ 10 ล้านคน ส่วนปีหน้า ททท. คาดว่าจะอยู่ที่ 20 ล้านคนโดยหุ้นไทยรับกระแสจีนเปิดประเทศ คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาเป้าหมาย 80 บาท ซึ่งเป็นประตูสู่ประเทศไทย ตามด้วย บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท ที่มีโครงสร้างโรงแรมในไทยประมาณ 90%
นอกจากนี้ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ราคาเป้าหมาย 54 บาท ซึ่งมาจากโรงแรมไทยราว 34% ของรายได้ปี 2562 ส่วนที่เหลือมาจากมัลดีฟส์ 7% และธุรกิจร้านอาหาร 59% ทั้งนี้ กำไรธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 66% และร้านอาหาร 34% ของกำไรปี 2562)
ส่วน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ราคาเป้าหมาย 38 บาท ซึ่งมีฐานรายได้ประมาณ 50% มาจาก NH Hotel โดย MINT ถือหุ้นสัดส่วน 94%
กลุ่มยางพารา โดยจะได้ผลบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและโลกฟื้นตัว หนุนแนวโน้มยอดจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการเดินทางจะเพิ่มขึ้นด้วย หนุนให้ผู้ใช้รถยนต์เปลี่ยนล้อยางเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกต่อแนวโน้มความต้องการใช้และราคายางพาราโลก โดยแนะนำ “ซื้อ” บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ราคาเป้าหมาย 9 บาท และบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA ราคาเป้าหมาย 23 บาท
กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้จะได้ผลบวกทางอ้อม จากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนและโลกฟื้นตัว หนุนแนวโน้มความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้แนวโน้มการจัดหาวัตถุดิบชิ้นส่วนฯ และการขนส่งจากจีนสะดวกขึ้นด้วย โดยเลือก ได้แก่ บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ราคาเป้าหมาย 60 บาท และ บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท ยกให้เป็น Top picks ของกลุ่มชิ้นส่วนฯ
กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยถือเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ทางอ้อม หลังจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ในประเทศ และคาดเริ่มปลดล็อกด้วยการปล่อยคนออกนอกประเทศมากขึ้นในปีหน้า ย่อมส่งผลบวกต่อตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดฯเนื่องจากจีนถือเป็นลูกค้าหลักอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วน 50-60% ของมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ต่างชาติ ทำให้สถานะ Backlog คอนโดฯ สิ้นไตรมาส 3/2565 ที่มีราว 1.62 แสนล้านบาท (รวมคอนโดฯ JV 8.6 หมื่นล้านบาท) ที่เป็นส่วนของลูกค้าต่างชาติ สามารถโอนได้คล่องตัวขึ้นรวมถึงการระบายสต๊อกคอนโดฯ พร้อมโอนฯ ที่มีอยู่ราว 1.2 แสนล้านบาท ทำได้มากขึ้น
โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่เน้นพอร์ตคอนโดฯ และได้รับประโยชน์จากดีมานด์ลูกค้าต่างชาติได้แก่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE สำหรับปี 2564 มีส่วนแบ่งตลาดลูกค้าต่างชาติสาหรับตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพมากสุดในไทย สัดส่วน 52% และลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 29% ของยอดขาย และ 50% จากยอดโอนฯ รวม ตามด้วย บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN และ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งสิ้นไตรมาส 3/2565 มีสต๊อกคอนโดฯ พร้อมโอนฯ ราว 1.95 หมื่นล้านบาท และ 1.26 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างจากไทยไปจีนโดยตรงมีน้อย เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมากและไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มสูง อีกทั้งจีนมีความได้เปรียบในแง่ความสามารถการแข่งขันด้านต้นทุน โดยบริษัทในกลุ่มวัสดุฯ อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC มีสัดส่วนยอดขายไปจีนราว 3-5% ของยอดขายรวม ส่วนใหญ่เป็นสินค้าในกลุ่มปิโตรเคมีและ Packaging ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์ทางอ้อมมากกว่าประโยชน์ทางตรง หากจีนมีการเปิดประเทศ เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเกือบ 40% ของทั้งโลก ปริมาณการบริโภคเหล็ก 50% ของทั้งโลก และมีการนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์มากกว่าปีละ 10 ล้านตัน
ทั้งนี้การเปิดประเทศของจีนจะทาให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งเม็ดพลาสติก, เหล็ก, Packaging Paper ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลบวกต่ออัตรากำไรของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP รวมไปถึงผู้ประกอบการในกลุ่มเหล็กอย่าง บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT ที่จะได้อานิสงส์จากทิศทางราคาสินค้าที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยถือเป็นอีกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลบวกจากการที่จีนผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 เพราะจะส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และปิโตรเคมีในภูมิภาคคาดน่าจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคา และ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเห็นการฟื้นตัว เพราะในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ไตรมาส 3/2565 Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (GRM) และ Spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ได้ปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบปี ถูกกดดันหลักจากความต้องการใช้ที่ปรับตัวลดลงตามภาวะความกังวลด้าน recessionในหลายประเทศทั่วโลก
รวมถึงอีกสาเหตุสำคัญมาจากการปิดเมืองสำคัญหลายแห่งในจีนเพื่อป้องกันโควิดอีกระลอก จึงทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นผู้บริโภคหลักในภูมิภาคลดลง ดังนั้นการกลับมาของจีนน่าจะเห็นการฟื้นตัวของ Spread ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีทั้งสายอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ ถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี แนะนำทยอยสะสม บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเป้าหมาย 63 บาท, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ราคาเป้าหมาย 56 บาท และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ราคาเป้าหมาย 3.6 บาท
อย่างไรก็ตาม PTTGC และ IRPC จะมีแผน shutdown โรงกลั่น 1 เดือนในงวดไตรมาส 4/2565 ขณะที่ TOP มีแผน shutdown โรงกลั่น 1 หน่วย CDU2 กำลังการผลิตราว 5 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็นเวลา 26 วัน ในเดือน ต.ค. แต่ยังสามารถคงอัตราการเดินเครื่องโรงกลั่นน่าจะอยู่ได้ในระดับ 104% ใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้า
กลุ่มอุปโภคบริโภค โดยคาด บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ได้ประโยชน์จากการที่จีนคลายการล็อคดาวน์ภายในประเทศ เนื่องจากคาดว่ายอดขายสินค้ารวมทั้งสินค้า Carabao ของ CBG ในจีน จะเพิ่มขึ้นตามการจับจ่ายที่น่าจะสูงขึ้น ทั้งนี้ยอดขายสินค้า Carabao ในจีนช่วง 9 เดือนแรกของปี 65 มีสัดส่วนเพียง 3% ของยอดขายรวม แต่เชื่อว่ายอดขายในจีนน่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับก่อนโควิดที่ 4.1% – 4.2% ของยอดขายรวมได้ หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด19 ในจีนคลี่คลายลงมากแล้ว บวกกับคาดหวังยอดขายใน CLMV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตลาดเวียดนาม หลังมีตัวแทนจำหน่ายรายใหม่เข้ามาเพิ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/2565
กลุ่มเช่าซื้อ โดยจะได้ผลบวกทางอ้อม จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อแนวโน้มรายได้ของลูกหนี้ในกลุ่มส่งออกและกลุ่มท่องเที่ยวที่จะมีรายได้สูงขึ้น ท าให้แนวโน้มความสามารถในการชาระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อมีแนวโน้มตั้งค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง ส่งผลบวกให้แนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มเช่าซื้อให้ดีขึ้นเลือก บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ราคาเป้าหมาย 47 บาท และ บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK ราคาเป้าหมาย 46 บาท เป็น Top picks ของกลุ่มเช่าซื้อ
สรุปกระแสจีนเปิดประเทศถือเป็นอีกแรงส่งหนึ่งให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเด่นด้วยเช่นกันทั้งจากสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ 28% รวมถึงเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆสูงถึง 12% ถือเป็นแรงหนุนหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำช่วยหนุนตลาดในระยะถัดไป ท็อปพิกเลือกหุ้นเด่นแต่ละแต่อุสาหกรรม อาทิ AOT, NER, KCE, NOBLE, SCGP, CBG และ MTC