ไทยเนื้อหอม! 11 เดือน เม็ดเงินต่างชาติแห่ลงทุน EEC เฉียด 5 หมื่นล้าน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โชว์ 11 เดือนแรก ปี 65 เม็ดเงินต่างชาติแห่ลงทุนพื้นที่ EEC เฉียด 5 หมื่นล้าน ญี่ปุ่นนำโด่ง 42 ราย เงินลงทุน 24,520 ล้าน รองลงมาจีน 9 ราย เงินลงทุน 10,956 ล้านบาท และ สิงคโปร์ 9 ราย เงินลงทุน 2,156 ล้านบาท


น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) มุ่งยกระดับเศรษฐกิจเพื่อพลิกโฉมประเทศ ให้ความสำคัญในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย

โดยล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 11 เดือน 2565 คือตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC แล้ว จำนวน 105 ราย คิดเป็น 20% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 48,316 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของเงินลงทุนทั้งหมด

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC มากที่สุดจากประเทศญี่ปุ่น 42 ราย เงินลงทุน 24,520 ล้านบาท, จีน 9 ราย เงินลงทุน 10,956 ล้านบาท และ สิงคโปร์ 9 ราย เงินลงทุน 2,156 ล้านบาท โดยลงทุนในธุรกิจเช่น บริการศูนย์กระจาย สินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย  บริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการควบคุมการผลิตในโรงงาน และระบบบริหาร จัดการสินค้าคงคลัง และ บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค  เป็นต้น

โดยคาดว่าในเดือนธันวาคมจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  สะท้อนผลสำเร็จและความก้าวหน้าของพื้นที่ EEC ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์

“โครงการ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน ที่พล.อ.ประยุทธ์วางรากฐานไว้สำหรับคนรุ่นถัดไป รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  ถือเป็นการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ในด้านการค้า การลงทุน ซึ่งไม่เพียงจะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ EEC แต่ยังเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตไปสู่ทุกภาคของประเทศไทยและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาค ซึ่งประชาชนกลุ่มอื่นจะได้รับประโยชน์ด้วยอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ภายใต้การดำเนินการที่พล.อ.ประยุทธ์กำชับให้ทุกภาคส่วนดำเนินการตามกฎหมายด้วยความระมัดระวัง ใช้จ่ายงบประมาณด้วยความโปร่งใส เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน”น.ส.ทิพานัน กล่าว

Back to top button