Pi เปิดสถิติซื้อขาย “หุ้นไทย” ท้ายปี แนะ “เทรดดิ้ง” 20 หุ้น Domestic

“บล.พาย” เปิดสถิติย้อนหลังชี้ตลาดหุ้นไทยมักมีมูลค่าซื้อขายเบาบางช่วงใกล้สิ้นปี พร้อมแนะกลยุทธ์ Trading หุ้นที่มีแนวโน้มเป็นบวก อย่างหุ้นในกลุ่ม Domestic กลุ่มธนาคาร, ค้าปลีก, สื่อสาร, ท่องเที่ยว, ขนส่ง, โรงไฟฟ้า และร้านอาหาร


บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi วิเคราะห์ตลาดหุ้น Dow Jones วันศุกร์ปิดลบ 0.85% ปัจจัยกดดันยังคงมาจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นหลัง FED เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ลดลง 2.7% ถูกกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยจะกดดันอุปสงค์น้ำมัน

โดยสัปดาห์นี้เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนจะเริ่มเงียบและมูลค่าการซื้อขายก็อาจจะเบาบางไปด้วย เนื่องจากภาพรวมการลงทุนหมดปัจจัยใหญ่ๆ อย่างสัปดาห์ก่อนก็มีเงินเฟ้อสหรัฐฯและประชุม FED ขณะที่สัปดาห์นี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่มีผลต่อการลงทุนกลางๆ

อาทิ (1) ในคืนวันอังคารราว 20.30 จะมีการรายงานยอดสร้างบ้านใหม่ของสหรัฐฯ และใบอนุญาตก่อสร้าง Bloomberg Consensus คาดที่ 1.4 ล้านหลังคาเรือนและ 1.48 ล้านใบอนุญาต (2) ในวันพุธจะมีการรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ CB Bloomberg คาดที่ 101 (3) เงินเฟ้อ (PCE) ในวันศุกร์ช่วง 20.30 Bloomberg คาดเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 5.5% จากปีก่อน 0.1% จากเดือนก่อน เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 4.7% จากปีก่อน หากประกาศมาแล้วต่ำกว่าตลาดคาดการณ์อาจเป็นแรงหนุนให้กับตลาดหุ้นได้

ทั้งนี้หากอิงมูลค่าการซื้อขายของ SET INDEX ย้อนหลังตั้งแต่ปี 61-64 พบว่า 2 สัปดาห์สุดท้ายของ SET INDEX มักต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปี หากประเมินที่ปี 61 พบว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาทแต่ 2 สัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค.61 อยู่ที่เพียง 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 62 พบว่าทั้งปีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาทแต่พบว่า 2 สัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค. ของปี 62 อยู่ที่เพียง 3.4 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามสำหรับปี 63 พบว่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านบาทแต่ 2 สัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค. กลับสูงถึง 9.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดีเชื่อว่าส่วนนึงมาจากแรงเก็งกำไรเพราะช่วงนั้นทั่วโลกเริ่มประกาศค้นพบ Vaccine COVID-19 ส่วนปี 64 ทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านบาทส่วนค่าเฉลี่ย 2 สัปดาห์สุดท้ายลดลงมาอยู่ที่ 6.68 หมื่นล้านบาท ในแง่ของผลตอบแทนช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย

โดยสถิติแล้วมักปรับขึ้นมากกว่าปรับลง (ปี 62-64) มีเพียงปี 61 ที่ 2 สัปดาห์สุดท้ายมีวันทำการ 7 วันแต่เป็นบวกเพียง 2 วันอีก 5 วันปรับลดลง ประเมินการเคลื่อนไหวทั้งสัปดาห์ 1,600 – 1,640 เชิงกลยุทธ์การลงทุน Trading ระยะสัปดาห์ได้จากสถิติที่ดูเป็นบวกเน้นหุ้น Domestic อาทิ ธนาคาร (BBL, KBANK, SCB, TTB, TISCO) ค้าปลีก (BJC, HMPRO) สื่อสาร (ADVANC, INTUCH) ท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA) ขนส่ง (BEM) โรงไฟฟ้า (BGRIM, GSPC, GULF, RATCH) ร้านอาหาร (M)

สำหรับ BBL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 171.00 บาท แนวทางสำหรับไตรมาส 4/65 และปี 65 คือ 1) คาดการเติบโตของสินเชื่อไตรมาส 4 จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากการเติบโตของสินเชื่อทั้งปีที่ราว 8% (4%-6% ก่อนหน้านี้) 2) NIM ที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นต่อเนื่องหนุนจากการปรับเพิ่มดอกเบี้ย แต่น่าจะเป็นการเติบโตระดับปานกลาง 3) คาดการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ต่ำกว่าตัวเลขแนวทางบริษัทที่ 0% (น่าจะติดลบ) 4) ประเมินอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ 50% ต้นตามเดิม

รวมถึง RATCH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 55.00 บาท ภาพรวมระยะยาวดูสดใส เพราะบริษัทมีโครงการในแผนการอยู่ 2.4GW ที่จะเดินเครื่องในปี 66-69 ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตขึ้นเป็น 10.7GW ภายในปี 69 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.3%

Back to top button