โบรกคาดรายได้ DTCENT ปี 65 ทะลุ 700 ล้าน เคาะเป้า 3.30 บ. อัพไซด์เกิน 60%
3 โบรกฟันรายได้ DTCENT ปี 65 ทะลุ 700 ลบ. รับธุรกิจ IoT Solution โตแรง -บุกขยายต่างประเทศ เคาะเป้า 3.30 บ. อัพไซด์เกิน 60% เร่งพัฒนาและวิจัยโครงการเมะเทรนด์ ดันอนาคตโตกระโดด
บล.โกลเบล็ก ได้ประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 ของบริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT ราว 3.30 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี Prospective PER เทียบกับกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอุปกรณ์และระบบ Global Positioning System (GPS) ที่ระดับ 24 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประกอบกับคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 2566 ราว 0.14 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมราว 3.30 บาท
โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์รายได้ปี 2565-2566 ราว 702 ล้านบาท เติบโต 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 977 ล้านบาท เติบโต 39% จากงวดเดียวกันปีก่อนตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 29% ต่อปี โดยมีปัจจัยเติบโตจาก 1) ธุรกิจ GPS Tracking ฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง 2) รายได้จากกลุ่มบริษัทย่อยที่จำหน่าย Software และ Application ใหม่ปีนี้ และ 3) กลุ่มงาน IoT Solution ของภาครัฐ เริ่มเปิดประมูลมากขึ้น ส่วนสมมติฐาน %GPM คาดที่ระดับ 49-50% อ่อนลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 56% จากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม ประกอบกับงาน IoT Solution ที่มาร์จิ้นราว 30% มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ %SG&A คาดจะปรับลดลงมาที่ระดับ 27-31% จากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 34% จากการประหยัดจากขนาด ส่งผลให้คาดการณ์กำไรปี 2565-66 ราว 106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38%จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55%จากงวดเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 46% ต่อปี
ส่วนบล.เอเอสแอล ระบุว่า ได้ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2566 เท่ากับ 3.24 บาท อิง Justified PE ที่ระดับ 24.87 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ของกลุ่ม SETTECH ที่ระดับ 26.54 เท่า ซึ่งเรามองว่ามีความน่าสนใจ เมื่อเทียบกับการเติบโตเฉลี่ย CAGR ของกำไรสุทธิในปี 2565–2566 ที่ระดับ 52.4% โดยมาจากแนวโน้มผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 มาพร้อมกับแนวโน้มของธุรกิจที่เติบโต โดยเฉพาะการให้บริการ IoT ที่คาดว่า บริษัทจะสามารถได้รับการประมูลงานจากภาครัฐ
โดยจะเริ่มเห็นมูลค่าที่มีนัยยะตลอดปี 2566 รวมถึงความเป็นผู้นำในตลาดการให้บริการระบบอุปกรณ์ GPS Tracking ที่ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ตลอดจนยังมี upside จากการเป็นพันธมิตรร่วมกับ YAZAKI ที่จะมีโอกาสทำการตลาดและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านบริษัทในเครือของ YZK ที่มีอยู่ 140 บริษัท ใน 45 ประเทศทั่วโลก และกับกลุ่มบุญรอด ที่ร่วมกันพัฒนา Supply chain solution ซึ่งมีโอกาสขยายไปยังบริษัทในเครือเพื่อจัดการต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน รวมถึงการเกิด synergy ต่างๆ ของธุรกิจในอนาคต
นอกจากนี้ DTCENT ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาและวิจัยโครงการที่อยู่ใน Mega trend ของประเทศไม่ว่าจะเป็น EV plat form, Smart city solution, ระบบการจัดการน้ำ, Elder Helper, UDEE (อยู่ดี), Logistic Demand-Supply Matching platform และ AI สำหรับ Tracking – IoT solution ซึ่งเรามองเป็น hidden value ของบริษัทที่พร้อมจะ unlock ในอนาคต
ขณะที่ประมาณการรายได้ปี 2565-2567 เท่ากับ 709.1 ล้านบาท เติบโต 21.1% จากปีก่อน, 1,013.2 ล้านบาท เติบโต 42.9% และ 1,144.7 ล้านบาท เติบโต 13% คิดเป็น CAGR ในช่วง 3 ปี เท่ากับ 27.1% โดยรายได้จากการขายเติบโตโดดเด่นจากรายได้โครงการและงาน IoT ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยยะในปี 2566 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2565-2567 เท่ากับ 50.0%, 51.2% และ 52.5% ตามลำดับ
สำหรับกำไรสุทธิในปี 2565-2567 คาดการณ์ที่ระดับ 86.83 ล้านบาท เติบโต 12.4% จากปีก่อน, 157.2 ล้านบาท เติบโต 81% จากปีก่อน และ 201.6 ล้านบาท เติบโต 28.3%จากปีก่อน ตามลำดับ ด้านอัตรากำไรสุทธิ ปรับตัวขึ้นที่ระดับ 12.2%, 15.5% และ 17.6% ตามลำดับ
ขณะที่บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ได้ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสำหรับปี 2566 ที่ 3.20 บาท อิง PE ที่ 17 เท่า ไม่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายใดที่ทำธุรกิจเหมือนกับ DTC เราอิงผู้ประกอบการในโลกที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์ GPS, ผู้ผลิต Hardware และ Software ในระบบยานยนต์, ผู้ผลิตอุปกรณ์กล้อง เป็นต้น บริษัทเหล่านี้มีค่า PE เฉลี่ยในปี 2566 ที่ 17.8 เท่า โดยหลายรายมีความสามารถในการทำกำไรไม่เทียบเท่าบริษัท ขณะที่ค่าเฉลี่ย ROE ใกล้เคียงกัน
โดยคาดกำไรสุทธิปี 2565 ฟื้น 31.8% และก้าวกระโดด 118.7% จากปีก่อนในปี 2566 และโตต่อเนื่อง 5.2% จากปีก่อนในปี 2567 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 51.7% CAGR จากธุรกิจหลักเดิม และการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมการเพิ่มขึ้นของโครงการ IoT โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 25 ของบริษัทและพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มยาซากิและเครือบุญรอด
ทั้งนี้ หากนำราคาเป้าหมายของแต่ละโบรกเกอร์มาเปรียบเทียบกับราคาปิดของ DTCENT เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ 2.02 บาท พบว่า ยังมีอัพไซด์มากถึง 58-63%
โบรกเกอร์ | ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) | อัพไซด์(%) |
บล.โกลเบล็ก | 3.30 | 63.36 |
บล.เอเอสแอล | 3.24 | 60.39 |
บล.ฟินันเซีย ไซรัส | 3.20 | 58.41 |