ลุ้น GULF ปี 66 กำไรโต 66% บุ๊กโครงการใหม่-ปรับขึ้น Ft โบรกอัพเป้าใหม่ 62 บ.
โบรกประเมินกำไร GULF ปี 66 โตสนั่น 66% รับรู้รายได้จากโครงการใหม่ พร้อมรับอานิสงส์ปรับขึ้นค่า Ft อัพเป้าใหม่ 62 บ. จากเดิม 58 บ. ชูดาวเด่นกลุ่ม
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า แนวโน้มรายได้ในปี 2566 ของบริษัทคาดว่าจะเติบโตกว่า 30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 80% เนื่องจากหลายโครงการรับรู้กำไรในปีหน้า ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ พีดี หรือ GPD 2 ยูนิต ที่จะเปิดดำเนินการในเดือนมีนาคม และเดือนตุลาคม ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generation ในสหรัฐอเมริกา ปีละประมาณ 2 พันล้านบาท และรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ เอสอาร์ซี หรือ GSRC ครบทั้ง 4 ยูนิต และยังรับรู้รายได้จากบริษัท Gulf Gunkul Corporation ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 50% รวมทั้งโครงการบริษัท ไทยแท้งค์ เทอร์มินัล กำไรเต็มปี จากที่ถืออยู่ 28% ประมาณ 300 ล้านบาท
นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่า Ft ก็ยังหนุนกำไรของ GULF ในปีหน้าทั้งปี ที่ระดับ 1.9044 บาทต่อหน่วย ทําให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 5.69 บาทต่อหน่วย จากเดิม 4.72 บาทต่อหน่วย ก็ทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้นจึงมั่นใจว่าปีหน้าจะเป็นปีที่รายได้ของบริษัทเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ตามที่ตั้งเป้าไว้
ส่วนบริษัทร่วมทุนที่ทำร่วมกับบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL นั้น คงต้องรอผลประมูลขายไฟฟ้าก่อนในเดือนมีนาคมปี 2566 ซึ่งบริษัทได้ผ่านคุณสมบัติทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโซลาร์พ่วงแบตเตอรี่แล้ว
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า GULF จะได้รับผลบวกจากการปรับขึ้นค่า Ft งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2566 หลังจากคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (กกพ.) กําหนดค่า Ft อัตราใหม่ (ม.ค.-เม.ย. 2566) ที่ 1.9044 บาทต่อหน่วย ทําให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 5.69 บาทต่อหน่วย (จาก 4.72 บาทต่อหน่วย) สําหรับผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม (IU) ไม่รวมผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อย
โดยค่า Ft ที่ปรับใหม่สะท้อนราคาเนื้อก๊าซ หรือ pool gas ที่สูงขึ้นจากการนําเข้า LNG จํานวนมาก และปริมาณก๊าซจากเมียนมา และแหล่งก๊าซเอราวัณที่ตํ่ากว่าเป้า คาดว่าจะมีการขึ้นค่า Ft อีกสองรอบในปี 2566 (พ.ค.-ส.ค. และ ก.ย.-ธ.ค.) โดยมองว่าผู้เล่น SPP (ขายไฟฟ้าให้ IU) และพลังงาน RE ที่มีโครงการส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือ Adder จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเพิ่มกําไรหลักในปี 2566-2567 ขึ้นอีกประมาณ 9% เพื่อสะท้อนถึงการขึ้นค่า Ft แม้ราคาก๊าซ SPP จะสูงขึ้น คาดว่าราคาก๊าซเฉลี่ยในปี 2566 จะลดลงมาอยู่ที่ 470 บาทต่อล้านบีทียู (จาก 500 บาทต่อล้านบีทียูในปี 2565) ก่อนที่จะลดลงไปอยู่ที่ 320 บาทต่อล้านบีทียูในปี 2567
ขณะเดียวกัน คาดว่าจะมีการทยอยปรับขึ้นค่า Ft อีกในปี 2566 ก่อนที่จะทรงตัวในปี 2567 ดังนั้นจึงคาดว่ากําไรจากธุรกิจหลักของ GULF ในปี 2566 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% และในปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% โดยคาดว่าผลประกอบการของ GULF จะได้แรงหนุนจากราคาก๊าซของ SPP ที่ลดลง, กําลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น (GPD Unit1-2, Jackson Generation) และการรับรู้กําไรเต็มปีจาก GSRC
นอกจากนี้ มองว่า GULF กําลังก้าวไปไกลกว่าจะเป็นแค่ผู้ผลิตไฟฟ้าแบบ conventional เพราะบริษัทมักจะสร้างความแปลกใจให้กับนักลงทุนด้วยโครงการและธุรกิจใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งคู่แข่งไม่อาจทาบติด ซึ่งเป็นเหตุให้หุ้น GULF มักจะมี premium มากกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มฯ ทั้งนี้ GULF กําลังหา S-Curve ตัวใหม่ ด้วยการมุ่งไปทางด้านของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน, data center, สื่อสาร, ดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ยังมีกระแสเงินสด recurring แข็งแกร่ง โดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเมื่อเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในกลุ่ม สําหรับในระยะสั้น ปีนี้คาดว่ากําไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 4/2565 จะดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 2.9-3.1 พันล้านบาท จากการรับรู้ผลการดําเนินงานเต็มไตรมาสของ GSRC Unit 4 และการขึ้นค่า Ft
ดังนั้น ยังแนะนํา “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ใหม่ 62 บาท จากเดิม 58 บาท ยังเลือก GULF เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มฯ จากปัจจัยพื้นฐานที่เหนือกว่าในแง่ของการเติบโต เครือข่ายทางธุรกิจ และยังมีช่องให้ทำผลตอบแทนเพิ่มได้อีกมาก คาดว่า GULF จะยังคงสถานะ outperform หุ้นอื่นในกลุ่มฯ จากโมเมนตัมกําไรที่ราบรื่นกว่า และมีโครงการในมือที่ชัดเจนกว่ามาก