PACO มั่นใจปีนี้รายได้ 900 ลบ. รุกหนักตะวันออกกลาง ลุยเพิ่มกำลังผลิต 20%
PACO มั่นใจปีนี้รายได้ 900 ลบ. โต 20% รุกหนักตะวันออกกลาง เดินหน้าขยายธุรกิจ Aftermarket พร้อมเพิ่มกำลังผลิต 20% หลังออเดอร์เข้ามาต่อเนื่อง ตั้งเป้าปี 65 เพิ่ม PACO Auto Hub ครบ 300 สาขา
นายสมชาย เลิศขจรกิตติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO เปิดเผยถึงแผนการขยายแผนธุรกิจในต่างประเทศ ที่ล่าสุดได้มีการไปจัดงานแสดงสินค้า ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่ง่ได้ผลตอบรับอย่างดีเยี่ยม มียอดคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า (ออเดอร์) จากลูกค้าในแถบตะวันออกลาง เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มียอดผลิตยาวต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางปี 2566
โดยบริษัทฯ เตรียมที่จะเพิ่มกำลังผลิตอีกประมาณ 20% เพื่อรองรับออเดอร์จากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้ในการผลิตสินค้า Aftermarket มากขึ้นอีก 10% ส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนช่วยเสริม งานรับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ (OEM) และงานรับจ้างผลิตเพื่อนําไปรองรับการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ตามศูนย์บริการรถยนต์ (OES) เพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมแนวโน้มการเติบโตของตลาด Aftermarket ที่เติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉลี่ยปีละ 10-20% ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ ทั้งนี้ การผลิตรถยนต์รุ่นใหม่จะช่วยเพิ่มยอดใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทนรถเก่าให้เติบโตสูงขึ้น เพราะในปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมใช้รถยนต์มือสองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลให้การใช้อะไหล่ทดแทน มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น ในภาด้านของตลาดรถยนต์ใหม่ ในปีนี้มีการผลิตที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตใน 4-5 ปีข้างหน้า ในขณะที่แนวโน้มการเติบโตของ OEM และ OES ปี 2566 คาดจะเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว คิดเป็นสัดส่วน 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10%
สำหรับรายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตตามเป้าที่ 900 ล้านบาท หรือประมาณ 20-30% ตามที่ตั้งไว้ บริษัทฯ เตรียมขยายตลาดส่งออก ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ดี เนื่องจากธุรกิจ REM หรือ อะไหล่ทดแทน จะได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อรถใหม่ อีกทั้ง ปัญหาเรื่องการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ได้คลี่คลายลงอย่างมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นได้
โดยบริษัทฯ มุ่งเน้น ตลาดตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และอาเซียน และในช่วงไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ ได้ปรับราคาสินค้าขึ้นเพื่อรักษาอัตรากำไรในไตรมาสที่ผ่านมา และราคาอะลูมิเนียมทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงมาตามลำดับ ทำให้กำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ PACO มุ่งมั่นที่จะขยายทั้งตลาดส่งออก และตลาดในประเทศ คาดว่าธุรกิจจะขยายตัวได้เติบโตจากครึ่งปีแรก โดยได้รับปัจจัยจากการที่บริษัทปรับราคาขายสินค้าขึ้นมาเพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งอลูมิเนียม เหล็ก น้ำมัน และพลาสติก ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงมา
ส่วนในประเทศ PACO จะขยายเครือข่ายร้านอะไหล่แอร์รถยนต์ครบวงจร ภายใต้แบรนด์ PACO Auto Hub (พาโก้ ออโต้ ฮับ) เพื่อสร้างแบรนด์ PACO ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ในประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขายในประเทศและเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ แบรนด์ของคนไทย
โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีร้าน PACO Auto Hub จำนวน 300 สาขาภายในปีนี้ จากปัจจุบันได้เปิดไปแล้วกว่า 170 สาขา ทั่วประเทศ โดยภายในร้านจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คอยล์ร้อนและคอยล์เย็นแบรนด์ PACO เป็นหลัก และมีสินค้าอื่นๆ อาทิเช่น ท่อน้ำยาแอร์ น้ำยาแอร์ เพื่อเป็นการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรในที่เดียว (One-Stop Solution) บริษัทวางเป้าหมายการจำหน่ายสินค้าผ่าน PACO Auto Hub ในแง่ของการเข้ามาช่วยสนับสนุนรายได้จากตลาดในประเทศที่มีสัดส่วน 55% ของรายได้รวมในปี 65 ที่จะผลักดันให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องให้ครบ 500 สาขาในอนาคต
ขณะที่แนวโน้มของตลาดรถยนต์ EV กำลังอยู่ในกระแสความนิยมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง ประกอบกับนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาล ที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ของเอเชีย ทำให้ผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่จากทั่วโลกหลายรายพุ่งเป้าเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ PACO จะเข้าไปมีส่วนร่วมเต็มรูปแบบสำหรับอุตสาหกรรมรถ EV เนื่องจาก PACO เป็นผู้รับจ้างผลิตชิ้นส่วนแอร์รถยนต์ (OEM Manufacturer) ที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี และมีประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า คือ Battery cooler และ ชิ้นส่วนแอร์รถยนต์สำหรับรถไฟฟ้า (EV) แบบ BEV (Battery EV) และ PHEV (Plug-in Hybrid) ในรูปแบบอะไหล่ทดแทน (REM) เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ