เปิด “ท็อป10” หุ้น SET100 ราคา “วิ่ง-ร่วง” แรงสุดปี 65
เปิด 10 อันดับหุ้น SET100 ราคาหุ้น “วิ่ง-ร่วง” มากที่สุดในรอบปี 65 พบ ESSO กวาดรีเทิร์นสูงสุด 77% ลุ้นผลงานฟื้นตัว ส่วน STGT ร่วงหนักสุด 67% หลังนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการ
นับตั้งแต่ต้นปี 65 จนถึงปัจจุบันภาพรวมความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ยังคงเป็นขาขึ้น เนื่องจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ควบคุมโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จาก ณ วันที่ 30 ธ.ค.64 ดัชนี SET อยู่ที่ระดับ 1,657.62 จุด ก่อนจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,713.20 จุด เมื่อวันที่ 18 ก.พ.65 และลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,533.37 จุด เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 65 จนกระทั่งล่าสุดวันที่ 30 ธ.ค.65 ดัชนีปรับตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,668.66 จุด
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลราคาหุ้นกลุ่ม SET100 ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงและราคาปรับตัวลดลงแรงในรอบ 12 เดือนหรือ 1 ปี โดยเปรียบข้อมูลราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.64 – 29 ธ.ค.65 โดยได้คัดเลือกมา 10 อันดับแรกของกลุ่มที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว
โดยกลุ่ม SET10 ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง 10 อันดับแรก ได้แก่ ESSO, CENTEL, FORTH, BH, SCB, PTTEP, CRC, AWC, KTB และ BDMS ดังตารางประกอบ
สำหรับอันดับ 1 ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบปี 65 คือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO โดยในวันที่ 29 ธ.ค.65 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 13 บาท คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 76.87% จากระดับ 7.35 บาท ณ ราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 30 ธ.ค.64
ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าเป็นหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ยังได้แรงหนุนจากแผนเปิดประเทศอย่างเป็นทางการของจีนตั้งแต่ 8 ม.ค.2566 ซึ่งจะหนุนความต้องการเดินทางเร่งตัวขึ้น เป็นบวกต่อค่าการกลั่นน้ำมันอากาศยานที่จะหนุนให้ค่าการกลั่นเฉลี่ยทรงตัวในระดับสูง ที่ระดับ 9-10 เหรียญ/บาร์เรล ต่อเนื่องถึงปีหน้า
ขณะที่ก่อนหน้านี้บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ESSO ได้รับปัจจัยบวกจำกค่ำกำรกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/65 มีโอกาสฟื้นตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
ส่วนกลุ่ม SET100 ที่ราคาปรับตัวลงแรง 10 อันดับแรก ได้แก่ STGT, TQM, COM7, SYNEX, STARK, KCE, SINGER, RBF, HANA และ TIPH ดังตารางประกอบ
สำหรับอันดับ 1 ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมากที่สุดในรอบปี 65 คือ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT โดยในวันที่ 29 ธ.ค.65 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 10.10 บาท คิดเป็นการปรับตัวลง 66.61% จากระดับ 30.25 บาท ณ ราคาหุ้นปิดตลาดวันที่ 30 ธ.ค.64 โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงสะท้อนการผิดหวังผลการดำเนินงาน
โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ได้ปรับลดราคาเป้าหมายของ STGT ลงเหลือ 10 บาท/หุ้น เนื่องจากยังคงกังวลต่อปัจจัยความเสี่ยงและแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เกิดจากต้นทุนและราคาขายที่ผันผวน ทั้งนี้กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนปี 65 ที่ 1,852 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 60% ของประมาณการเดิมทั้งปีที่ 3,146 ล้านบาท
ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 4/65 ถึงไตรมาส 1/66 ยังท้าทายเพราะปริมาณขายอาจไม่เป็นไปตามคาด ขณะที่แรงกดดันราคาขายยังคงอยู่ จึงปรับลดประมาณการปี 65/66/67 ลงจากเดิม -40%/-36%/-38% ตามลำดับ โดยปรับลดสมมุติฐานราคาขายและ GPM ลงจากเดิม รวมทั้งเพิ่มสมมติฐาน SG&A ขึ้นจากเดิม คาดกำไรสุทธิในปี 65 เพียง 1,892 ล้านบาท ลดลงมากถึง 92% เมื่อเทียบจากปีก่อน ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 66-67 เกิดจากการเพิ่มของปริมาณขาย การทรงตัวของราคาขายและราคาวัตถุดิบ
อย่างไรก็ดีสำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 66 บล.กสิกรไทย ยังคงมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยประเมินเป้า SET Index ไว้ที่ 1,757 จุด อิงจาก EPS ปี 67 ที่ 113 บาท และ PER ที่ 15.55 เท่า โดยปัจจัยบวกหนุนตลาดหุ้นไทย คือ คาด Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งแรกปี 66 จีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์เร็วกกว่าคาด Election Rally หนุน sentiment การบริโภค คาดราคาพลังงาน และอาหารลดลงในปี 66 และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดย KBANK ประเมินสิ้นปี 66 อยู่ที่ 33.5-34 บาท ขณะที่ปัจจัยลบคือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก และ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์